ทั้งนี้ จากการเปรียบเทียบโครงการรับจำนำของรัฐบาลนี้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา กับช่วงก่อนมีโครงการรับจำนำ พบว่า ชาวนาส่วนใหญ่ระบุว่าได้ประโยชน์ เพราะทำให้มีทรัพย์สินโดยรวมเพิ่มขึ้น ทั้งบ้าน รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ที่นาของตนเอง มีเงินจับจ่ายใช้สอย มีเงินซ่อมแซมบ้าน มีเงินออม ส่งเสียบุตรหลานให้เรียนในระดับสูงขึ้น เข้าถึงการรักษาทางการแพทย์ดีขึ้น มีเงินไปท่องเที่ยว และมีหนี้สินเดิมลดลง
"ปัจจุบันชาวนามีหนี้สินเฉลี่ย 264,825.6 บาท แต่การเข้าร่วมโครงการรับจำนำทำให้ได้รับเงิน 144,003.9 บาท สำหรับโครงการรับจำนำข้าวนาปรัง หรือได้รับเงินเพิ่มขึ้นก่อนมีการจำนำข้าว 48,795.26 บาท ส่วนโครงการจำนำข้าวนาปีชาวนาได้เงิน 181,685.4 บาท หรือได้รับเงินเพิ่มขึ้น 67,834.58 บาท หรือหากคิดเฉลี่ยชาวนาที่เข้าร่วมโครงการ 2 ล้านราย ได้เงินเพิ่มขึ้นเฉลี่ยต่อราย 50,000 บาท รวมเป็นทั้งสิ้นไม่น้อยกว่า 100,000 ล้านบาท ซึ่งเงินดังกล่าวสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศได้ในระดับหนึ่ง"
อย่างไรก็ดี การเข้าร่วมโครงการรับจำนำ แม้ทำให้ชาวนามีหนี้สินเดิมลดลงและมีเงินเพิ่มขึ้น แต่ก็ทำให้มีหนี้สินใหม่เพิ่มขึ้นด้วย เพราะต้นทุนการผลิตแพงขึ้น สินค้าอุปโภคบริโภคแพงขึ้น เช่าที่นาเพิ่มขึ้นเพื่อขยายพื้นที่เพาะปลูก มีภาระต้องเลี้ยงดูครอบครัว ดอกเบี้ยแพงขึ้น มีปัญหาภัยธรรมชาติ ดังนั้นชาวนา 35.1% จึงต้องการให้รัฐบาลเดินหน้ารับจำนำต่อไปเพราะเป็นการช่วยเหลือชาวนา แม้การรับจำนำทำให้ราคาข้าวไทยสูงขึ้นจนไม่สามารถขายแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ได้ โดยมีบางส่วนระบุว่ารัฐควรหามาตรการช่วยเหลือผู้ส่งออก ส่งเสริมให้ชาวนาพัฒนาคุณภาพข้าวพันธุ์ดี
ส่วนกรณีที่รัฐบาลปรับเงื่อนไขราคาจำนำข้าวนาปีอยู่ที่ตันละ 15,000 บาท แต่ลดวงเงินไม่เกิน 350,000 บาทต่อราย และลดราคานาปรังเหลือตันละ 13,000 บาท และวงเงินเหลือ 300,000 บาทต่อรายนั้น ชาวนาส่วนใหญ่รับได้ แม้จะได้รับเงินลดลง สำหรับสิ่งที่ต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลือชาวนา ได้แก่ ดูแลและลดต้นทุนการผลิต พักชำระหนี้ ออกดอกเบี้ยต้นทุนต่ำ แก้ปัญหาและให้ความรู้แมลงศัตรูพืช แก้ปัญหาภัยแล้ง และประกันราคาไม่ให้ต่ำเกินไป
อนึ่งผลสำรวจดังกล่าวมาจากความคิดเห็นของชาวนา 1,228 รายทั่วประเทศ ดำเนินการสำรวจระหว่างวันที่ 2-14 ก.ย.56
นายธนวรรธน์ กล่าวต่อถึงผลสำรวจผู้ประกอบการส่งออกข้าวไทยจากผู้ส่งออก 135 รายว่า ส่วนใหญ่เห็นว่าจำนำข้าวทำให้การส่งออกแย่ลงกว่าเดิมมาก และต้องการให้รัฐบาลยกเลิกโครงการ ซึ่งอาจทำแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยอาจยกเลิกภายใน 2 ปี แต่ถ้ายังไม่ยกเลิกโครงการ รัฐควรขายข้าวในสต็อกในราคาตลาด ส่วนไทยจะกลับมาเป็นผู้นำการส่งออกข้าวเมื่อใดนั้น ส่วนใหญ่ระบุว่าในอีก 3-4 ปี ขณะที่บางส่วนระบุไม่ได้ และแน่ใจ
"โครงการนี้ทำให้ชาวนามีเงินเพิ่มไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับตัวเลขขาดทุนในโครงการของรัฐบาล จึงต้องการให้รัฐบาลทำโครงการต่อ แต่ถ้ารัฐบาลจะถอนโครงการ ก็ต้องค่อยๆ ทำ และหามาตรการรับมือ รวมทั้งพูดคุยกับชาวนาให้เข้าใจ นอกจากนี้ ต้องหาทางลดต้นทุนให้ชาวนาด้วย แต่รัฐบาลต้องลดความกังวลในเรื่องการส่งออกที่ปริมาณลดลงเหลือ 6 ล้านตัน จากปกติ 9-10 ล้านตัน เหลือ 6 ล้านตัน หรือสูญเงิน 50,000-60,000 ล้านบาท สต็อกข้าวที่เพิ่มต่อปี 2-3 ล้านตันข้าวสาร และปัญหาทุจริตที่ยังไม่สามารถระบุตัวเลขได้