(เพิ่มเติม) ธปท.เผยเศรษฐกิจ ส.ค.อยู่ในภาวะทรงตัวและแนวโน้มไม่ทรุดลงไปกว่านี้

ข่าวเศรษฐกิจ Monday September 30, 2013 15:21 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายเมธี สุภาพงษ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า เศรษฐกิจในเดือนส.ค.เริ่มทรงตัวจากเดือนก่อน โดยระดับการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชนใกล้เคียงกับเดือนก่อนหน้า ขณะที่การส่งออกมีสัญญาณปรับดีขึ้นจากผลดีของการฟื้นตัวของอุปสงค์ต่างประเทศ ส่งผลให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้นตาม ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวยังขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง

ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจโดยรวม อัตราเงินเฟ้อชะลอลง อัตราการว่างงานอยู่ในระดับต่ำ ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลจากการเกินดุลการค้า ส่วนดุลเงินทุนเคลื่อนย้ายและดุลการชำระเงินขาดดุล

ทั้งนี้ ธปท. มองว่า เครื่องชี้ภาวะศกหลายตัวเริ่มทรงตัว และมีแนวโน้มว่าจะไม่ทรุดตัวลงไปมากกว่านี้ อย่างไรก็ดี ยังต้องจับตาปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในระยะต่อไป ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ได้แก่ การใช้จ่ายภาครัฐที่จะต้องมีการเร่งกระตุ้นการลงทุนในประเทศ รวมทั้งเรื่องที่จะกระทบต่อความเชื่อมั่นต่อภาคธุรกิจ คือ สถานการณ์การเมือง ส่วนปัจจัยต่างประเทศ ได้แก่ ความชัดเจนจากนโยบาย QE ของสหรัฐ, สถานการณ์เศรษฐกิจของยุโรป แม้โดยรวมจะเริ่มดีขึ้นแล้ว แต่ในหลายประเทศยังมีปัญหาอยู่

ในเดือน ส.ค.การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนทั้งค่อนข้างทรงตัว โดยดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 0.6 จากระยะเดียวกันปีก่อน ตามการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากฐานการบริโภคภายในประเทศที่ขยายตัว แต่ขณะเดียวกันการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค และยอดจำหน่ายยานยนต์หดตัว อย่างไรก็ดี แม้ยอดจำหน่ายยานยนต์หดตัวต่อเนื่องเมื่อเทียบกับฐานในปีก่อนที่สูง แต่ปริมาณการจำหน่ายเริ่มทรงตัว

การลงทุนภาคเอกชนเริ่มทรงตัวจากเดือนก่อนเช่นกัน แต่หากเทียบกับฐานที่สูงในเดือนเดียวกันปีก่อน แต่ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนหดตัวร้อยละ 4 ตามการหดตัวของการนำเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ และการซื้อรถยนต์เชิงพาณิชย์ อย่างไรก็ดี การลงทุนก่อสร้างยังขยายตัวจากระยะเดียวกันปีก่อนตามพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างโดยเฉพาะหมวดที่อยู่อาศัยและพาณิชยกรรม สอดคล้องกับยอดจำหน่ายปูนซีเมนต์ที่เพิ่มขึ้น

การส่งออกสินค้าได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ต่างประเทศมากขึ้น โดยการส่งออกมีมูลค่า 19,991 ล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 2.5 จากระยะเดียวกันปีก่อน ตามการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมโดยเฉพาะยานยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี และเครื่องนุ่งห่ม อย่างไรก็ดี การส่งออกสินค้าประมงและสินค้าเกษตรแปรรูปยังคงลดลงเนื่องจากปัญหาโรคระบาดในกุ้ง ขณะที่การส่งออกสินค้าเกษตรกรรมลดลงตามการส่งออกยางพาราที่คำสั่งซื้อจากจีนชะลอลงเนื่องจากมีสต็อกอยู่ในระดับสูงและการส่งออกข้าวที่ความต้องการจากต่างประเทศลดลงเนื่องจากราคาของไทยสูงกว่าประเทศคู่แข่งและผลผลิตของประเทศผู้นำเข้าหลักมีมากขึ้น

การส่งออกที่มีสัญญาณปรับดีขึ้นส่งผลให้การผลิตสินค้าอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกปรับดีขึ้นสอดคล้องกัน และทำให้ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมหดตัวร้อยละ 3.1 จากระยะเดียวกันปีก่อน โดยหดตัวน้อยลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อน จากการปรับดีขึ้นของการผลิตเครื่องนุ่งห่ม และเครื่องใช้ไฟฟ้า ขณะที่การผลิตปิโตรเลียมและฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์เพิ่มขึ้นแต่ส่วนหนึ่งเป็นผลของฐานต่ำในปีก่อน ส่วนการผลิตกุ้งแช่แข็งยังคงลดลงจากปัญหาโรคระบาดในกุ้ง

การผลิตภาคอุตสาหกรรมและการลงทุนภาคเอกชนที่ยังหดตัว ส่งผลให้การนำเข้ามีมูลค่า 17,777 ล้านดอลลาร์ สรอ. หดตัวร้อยละ 2.4 จากระยะเดียวกันปีก่อน ตามการหดตัวของการนำเข้าสินค้าทุน วัตถุดิบ และสินค้าขั้นกลางที่ไม่รวมเชื้อเพลิง อย่างไรก็ดี การนำเข้าวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตเพื่อส่งออกเริ่มมีทิศทางปรับดีขึ้น

รายได้เกษตรกรขยายตัวร้อยละ 1 จากระยะเดียวกันปีก่อน ตามราคาที่ขยายตัวร้อยละ 4.2 จากการเพิ่มขึ้นของราคากุ้งที่ผลผลิตลดลงเนื่องจากปัญหาโรคระบาด ราคาปศุสัตว์จากสภาพภูมิอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย และราคามันสำปะหลังที่มีความต้องการใช้เพื่อผลิตเอทานอลเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ราคายางพารายังคงลดลงตามคำสั่งซื้อจากจีนที่ชะลอลง ประกอบกับสต็อกของจีนยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่ราคาข้าวลดลงตามอุปสงค์ต่างประเทศที่ลดลง สำหรับด้านผลผลิตสินค้าเกษตรหดตัวร้อยละ 3.1 จากระยะเดียวกันปีก่อน ตามผลผลิตข้าวและกุ้ง

สำหรับภาคการท่องเที่ยวขยายตัวดีต่อเนื่อง นักท่องเที่ยวต่างประเทศมีจำนวน 2.5 ล้านคน ขยายตัวจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 28.1 ตามการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวจากทุกภูมิภาคโดยเฉพาะจีน มาเลเซียและรัสเซีย

ภาครัฐ รายจ่ายลดลงจากเงินโอนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและกองทุนนอกงบประมาณหลังจากที่เร่งโอนไปมากในช่วงก่อนหน้า ประกอบกับการเบิกจ่ายลงทุนเพื่องานด้านชลประทานและคมนาคมค่อนข้างล่าช้า ส่วนรายได้ค่อนข้างทรงตัวโดยการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเพิ่มขึ้นขณะที่การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากรถยนต์ลดลง รายได้ที่มากกว่ารายจ่ายทำให้รัฐบาลเกินดุลเงินสด 17 พันล้านบาท

สำหรับเสถียรภาพเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อชะลอลงจากเดือนก่อนมาอยู่ที่ร้อยละ 1.59 ตามการชะลอตัวของราคาพลังงาน ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 0.75 ชะลอลงตามการส่งผ่านต้นทุนไปยังราคาที่อยู่ในระดับต่ำ สอดคล้องกับอุปสงค์ในประเทศที่ชะลอลง อัตราการว่างงานอยู่ในระดับต่ำ ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลจากการเกินดุลการค้า ดุลเงินทุนเคลื่อนย้ายขาดดุลตามการขายหลักทรัพย์ของนักลงทุนต่างชาติ ส่วนดุลการชำระเงินขาดดุล

นายเมธี กล่าวว่า ด้านสถานการณ์เงินทุนเคลื่อนย้ายในเดือน ส.ค.พบว่า มีเงินไหลออกสุทธิ 4,600 ล้านดอลลาร์สรอ. ในจำนวนนี้เป็นผลมาจากการการลดการลงทุนในพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทยราว 2,300 ล้านดอลลาร์สรอ. และอีกส่วนมาจากการลดการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลอีก 700 ล้านดอลลาร์สรอ. ที่เหลือมาจาการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์อีกจำนวนหนึ่ง ทำให้ขาดดุลเงินทุนเคลื่อนย้ายในเดือนส.ค.

การที่ต่างชาติมีการขายพันธบัตรออกไปส่งผลดีทำให้หนี้ต่างประเทศของไทยปรับลดลง โดยในเดือนส.ค.อยู่ที่ 1.36 แสนล้านดอลลาร์ จากในเดือนก.ค.อยู่ที่ 1.4 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่ทุนสำรองระหว่างประเทศเมื่อเทียบกับหนี้ระยะสั้นในเดือนส.ค.อยู่ที่ 2.8 เท่าเพิ่มขึ้นจากก.ค.เล็กน้อย

ขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนในช่วงสิ้นส.ค.ค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 32.15 บาท/ดอลลาร์ สรอ.อ่อนค่าลงจากเดือนก.ค. 2.7% สอดคล้องกับทิศทางกับค่าเงินในภูมิภาค โดยปัจจัยที่ทำให้บาทอ่อนค่าลงมากมาจากการคาดการของนักลงทุนว่าธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)จะปรับลด QE ในเดือนก.ย., ความกังวลต่อพื้นฐานเศรษฐกิจของไทย หลังจากที่ทางการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 2/56 และแนวโน้มเศรษฐกิจปี 56 ต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ ส่งผลให้เงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรของไทย ทำให้บาทอ่อนค่าลงมากสุดในรอบ 3 ปี เมื่อวันที่ 6 ก.ย. โดยอยู่ที่ 32.39 บาท/ดอลลาร์ สรอ.

อย่างไรก็ดี หลังจากที่เฟดประกาศว่าจะยังปรับลด QE จึงทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเมื่อวันที่ 23 ก.ย.เงินบาทปิดตลาดที่ 31.26 บาท/ดอลลาร์ สรอ.แข็งค่าขึ้น 2.8% เมื่อเทียบกับสิ้นเดือนก่อนหน้า

นายเมธี กล่าวถึง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2557 ที่มีความล่าช้าว่า อาจจะไม่มีผลกระทบต่อแรงกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐให้ลดลง เนื่อจากมองว่าในส่วนรายจ่ายประจำยังสามารถใช้ได้ตามปกติ อีกทั้งในอดีตที่ผ่านมาก็เคยเกิดเหตุการณ์ในลักษณะเช่นนี้หลายครั้ง ซึ่งรัฐบาลยังสามารถเร่งเบิกจ่ายงบประมาณในช่วงที่เหลือได้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ