(เพิ่มเติม1) "หม่อมอุ๋ย"คาด GDP ปี 57 โตกว่า 4% ส่งออกรับอานิสงส์ศก.ยุโรป-สหรัฐฟื้นดีขึ้น

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday November 5, 2013 13:58 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปี 57 เริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยคาดว่าจีดีพีจะขยายตัวได้กว่า 4% เนื่องจากมีสัญญาณที่ดีขึ้นจากปัจจัยภายนอกโดยเฉพาะจากเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่เริ่มฟื้นตัว ส่วนเศรษฐกิจญี่ปุ่นก็มีแนวโน้มดีขึ้นมาก ขณะที่ยุโรปนั้นเศรษฐกิจหยุดการถดถอยแล้ว ประกอบกับกำลังซื้อจากประเทศจีนเริ่มกลับมา ดังนั้นจึงมีส่วนช่วยหนุนให้การส่งออกของไทยในปีหน้าขยายตัวเพิ่มขึ้น รวมทั้งสถานการณ์การเมืองในปีหน้ามีความสงบเรียบร้อยซึ่งทั้งหมดน่าจะช่วยให้จีดีพีปีหน้าโตได้กว่า 4%

นายศุภรัตน์ ศิริสุวรรณางกูร รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.)เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยปี 57 มีแนวโน้มจะได้รับอานิสงส์จากภาวะเศรษฐกิจโลกที่จะมีการฟื้นตัวในทิศทางที่แข็งแกร่งขึ้น ประกอบกับจะมีเม็ดเงินจากโครงการลงทุนของภาครัฐตามแผนการบริหารจัดการน้ำและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท ที่คาดว่าเม็ดเงินจะเริ่มลงสู่ระบบเศรษฐกิจได้ในปี 57 แต่ปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น ความผันผวนของค่าเงินบาท ราคาวัตถุดิบ ราคาพลังงาน ราคาสินค้าเกษตร สถานการณ์การเมือง รวมทั้งความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจโลกก็ยังไม่อาจละเลยได้ ซึ่งแรงกดดันเหล่านี้ย่อมส่งผ่านมายังเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นอกจากนี้ ความท้าทายในการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) จะทำให้มีการเคลื่อนย้ายสินค้าและบริการ การลงทุน เงินทุน และแรงงานฝีมืออย่างเสรี การคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ทึ่จะมีความสะดวกมากยิ่งขึ้นย่อมมีนัยต่อการเป็นจุดเปลี่ยนของประเทศไทย

ด้านนายมนูญ ศิริวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน กล่าวถึงทิศทางพลังานไทยปี 57 โดยคาดว่าราคาน้ำมันมีแนวโน้มลดลง ตามราคาในตลาดโลกและการปรับโครงสร้างราคาในประเทศ โดยการปรับโครงสร้างราคาก๊าซ LPG ทำให้ลดการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันได้ แต่รัฐบาลจะยังตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่เกินลิตรละ 30 บาทไว้ต่อไป

ส่วนราคาก๊าซธรรมชาติมีแนวโน้มสูงขึ้น เช่นเดียวกับค่าไฟฟ้าอัตโนมัติผันแปร(Ft)มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่ถ่านหินจะมีราคาลดลงเพราะผู้ใช้รายใหญ่หันไปใช้ก๊าซและพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น

ทั้งนี้ เป็นผลมาจาก ความต้องการน้ำมันดิบของโลกปีหน้าจะขยายตัว 1.2% สู่ระดับ 92 ล้านบาร์เรลต่อวัน กลุ่มนอกโอเปคจะผลิตน้ำมันดิบเต็มที่ 1.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน สู่ระดับ 56.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน, ในขณะที่ปริมาณน้ำมันที่หายไปจากอรัก ลิเบีย ไนจีเรียจะกลับคืนมา, สหรัฐจะกลายเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดนอกกลุ่มโอเปคแทนที่รัสเซียภายในปี 2014, มาตรการคว่ำบาตรอิหร่านลดลง ความสัมพันธ์ของอิหร่านกับโลกตะวันตกดีขึ้น ปริมาณน้ำมันจากอิหร่านจะเพิ่มขึ้น ปัจจัยเหล่านี้ อาจทำให้เกิด supply overhang เล็กน้อยในปีหน้า

ดังนั้น ถ้ากลุ่มโอเปคไม่ลดโควต้าการผลิตน้ำมันลงจากปัจจุบันที่ผลิต 30 ล้านบาร์เรลต่อวัน จะมีแรงกดดันทำให้ราคาน้ำมันดิบลงไปต่ำกว่า 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล คาดว่าราคา Brent จะไม่เกิน 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล, ราคา WTI จะอยู่ระหว่าง 90-95 ดอลลาร์ ต่อบาร์เรล, ราคา Dubai จะอยู่ที่ 98 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

นายเจน นำชัยศิริ รองประธาน ส.อ.ท. กล่าวถึงเศรษฐกิจโลกปี 57 ว่า เศรษฐกิจโลกยังคงมีเติบโตไปได้ถึงตามที่คาดการณ์ไว้ โดยมองว่าตลาดสหรัฐฯ จะขยายตัวมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อสินค้าไทยที่จะส่งออกไปในสหรัฐฯมากขึ้น และตลาดญี่ปุ่นที่เป็นคู่ค้าหลักของไทยจะมีการเปิดการนำเข้าจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นขณะที่ตลาดจีนเริ่มมีการปรับนโยบายการน้ำเข้าพอสมควร ที่จะส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยและอาเซียน ส่วนตลาดอินเดียและบังคลาเทศจะเริ่มชะลอตัวลง แต่โดยรวมตลาดและความเสี่ยงต่างๆในปี 57 จะปรับตัวดีขึ้น

ทั้งนี้ ความเสี่ยงในปี 57 จากปัจจัยภายในประเทศ มองว่า จะเป็นเรื่องของการขาดแคลนแรงงานสายวิชาชีพ เช่น ก่อสร้าง โดยบริษัทควรปรับธุรกิจให้เน้นเรื่องของเทคโนโลยีและ R&D มากขึ้น ซึ่งต้องมีการผลิตสินค้าที่ทันต่อสถานการณ์และตรงต่อความต้องการ หรือสินค้าที่ให้มูลค่าเพิ่ม รวมถึงปรับธุรกิจให้ทันต่อการก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนด้วย จากที่ผ่านมาทาง ส.อ.ท. มองเห็นว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่ทำธุรกิจเชิงรุกค่อนข้างน้อย ซึ่งแนวโน้มในปีถัดๆไปบริษัทควรเน้นการทำตลาดให้มากขึ้น เพื่อจะสามารถแข่งขันในอาเซียนได้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ