ครม.ศก.จี้หน่วยงานเร่งปรับปรุงเงื่อนไขเอื้อต่อการลงทุน รับปี 57 เศรษฐกิจฟื้น

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday November 20, 2013 15:21 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจว่า นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ส่วนราชการต่างๆ โดยเฉพาะสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สภาพัฒน์) กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบข้าราชการ(ก.พ.ร.) ให้รายงานถึงภาวะเศรษฐกิจในระยะปัจจุบัน แนวโน้มในอนาคต และความสามารถในการแข่งขัน โดยขณะนี้ความน่าสนใจการลงทุนในประเทศไทยมีอันดับที่ดีขึ้นเล็กน้อย ซึ่งมาอยู่ที่อันดับ 18 จากอันดับที่ 19 แต่หากถ้าเทียบในประเทศในอาเซียน ไทยอยู่อันดับที่ 3 ซึ่งยังตามหลังประเทศสิงค์โปร และมาเลเซีย

ทั้งนี้ ในส่วนของการปรับปรุงเพื่อผลักดันให้เกิดการเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้นนั้น ต้องมีการปรับปรุงตั้งแต่การเริ่มลงทุนธุรกิจในไทย ในเรื่องของกระบวนการจัดตั้งบริษัท การก่อสร้างสำนักงาน โรงงาน การขอใบอนุญาตประกอบกิจการต่างๆ กระบวนการได้รับสินเชื่อจากสถาบันการเงิน การปฎิบัติตามกฎหมายด้านธุรกิจ เช่น การชำระภาษีค่าธรรมเนียมต่างๆ การยุติข้อขัดแย้งทางธุรกิจกับคู่ค้า โดยต้องมีการปรับปรุงในแง่ของกระบวนการและในเรื่องระยะเวลาที่ต้องมีการดำเนินการให้เร็วขึ้น

นอกจากนี้ หน้าที่ของกระทรวงการคลัง ในการทำให้ไทยเกิดความน่าสนใจลงทุน คือเป็นเรื่องของอัตราภาษีและอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ที่ขณะนี้มีแนวโน้มดีขึ้น แต่ยังต้องมีการปรับปรุงความชัดเจนการกำหนดอัตราภาษีศุลกากร และการให้บริการ

สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจในปี 57 มองว่า เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มดีขึ้น โดยเห็นว่าสัญญาณการชะลอมาตรการ QE ของเฟด จะยังไม่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่ไทยยังความกังวลในเรื่องของเงินทุนไหลเข้าที่จะมาแบบฉับพลันนั้น แม้ยังมีการคงมาตรการ QE อยู่ จะไม่เป็นปัญหาในระยะสั้นและในระยะปานกลาง ในขณะเดียวกันในช่วงที่มีข่าวว่าจะมีการชะลอมาตรการ QE ได้มีเงินไหลออกไปจำนวน 8,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งไม่เป็นที่น่ากังวลเนื่องจากยังน้อยกว่าในช่วงต้นที่เริ่มมีมาตรการ QE ซึ่งขณะนี้ปริมาณเงินสำรองยังอยู่ในระดับที่สูง

พร้อมกันนี้ในปี 57 จากที่มีความกังวลในเรื่องของค่าเงินบาทจะปรับตัวแข็งค่านั้น มั่นใจว่าจะไม่เกิดปัญหา โดยธปท.มีมาตรการที่จะเข้ามาบริหารจัดการที่จะนำไปสู่การแข็งค่าของเงินแบบไม่พึงประสงค์ ขณะเดียวกันทางกระทรวงการคลังก็ไม่มีความคิดที่จะป้องกันเงินไหลออก ทั้งนี้ปัจจัยที่สนับสนุนให้เศรษฐกิจดีขึ้น คือการส่งออกที่คาดว่าจะดีกว่าปีนี้ และการท่องเที่ยวที่ยังดูสดใสดีอยู่

ส่วนในเรื่องของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท และโครงการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท มั่นใจว่าจะสามารถดำเนินการได้ในปี 57 ซึ่งจะเห็นความคืบหน้าและการเบิกจ่ายได้ในช่วงกลางปี 57 เป็นต้นไป ขณะที่พ.ร.บ.เงินกู้โครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท นั้น ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของศาลรัฐธรรมนูญ โดยมองว่าจะมีการลงทุนในเบื้องต้นได้ ในส่วนของการก่อสร้างถนน ที่จะมีการเบิกจ่ายงบประมาณ จำนวน 27,000 ล้านบาท และโครงการรถไฟรางคู่ ที่บางรางได้ผ่านกระบวนการ EIA แล้วซึ่งจะมีการเบิกจ่ายงบประมาณจำนวน 1-1.2 แสนล้านบาท

"ขณะนี้เป็นที่เข้าใจกันอย่างเป็นเอกฉันท์แล้วว่าประเทศควรมีการลงทุน ซึ่งวัตถุประสงค์ของโครงการต่างๆก็มีความชัดเจน โดยเมื่อใดก็ตามที่กฎหมายมีผลให้สามารถดำเนินการได้เลยก็พร้อมที่จะดำเนินการ แต่หากในบางส่วนที่ต้องรอกระบวนการของ EIA เราก็จะไม่ปล่อยให้เสียเวลาไป โดยจะต้องทำคู่ขนานกันไป" นายกิตติรัตน์ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ