ขณะที่ตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะอาเซียนเศรษฐกิจน่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเทศในกลุ่ม CLMV(กัมพูชา, ลาว, เมียนมาร์, เวียดนาม) ซึ่งมองว่าภาวะการส่งออกเริ่มจะแซงหน้าตลาดหลักแล้ว เนื่องจากสัดส่วนการส่งออกของไทยไปยังกลุ่ม CLMV มีสัดส่วน 8.3% ในขณะที่การส่งออกไปยังตลาดหลักมีสัดส่วนประมาณ 9-10% ดังนั้นจึงมองว่าหากการส่งออกไปกลุ่ม CLMV ยังดีต่อเนื่องในลักษณะนี้ ก็จะทำให้การเติบโตของตลาดส่งออกในประเทศเพื่อนบ้านมีโอกาสแซงหน้าตลาดหลักได้
ปัจจัยที่สอง คือ ค่าเงินบาทที่อ่อนค่ากว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นตัวช่วยสนับสนุนการส่งออกของไทย นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเรื่อง ราคาสินค้าเกษตรปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะสินค้ากุ้ง ซึ่งปีก่อนผลผลิตหายไปราว 50% จากปัญหาโรคระบาด แต่ในปีนี้สถานการณ์ได้กลับมาดีขึ้นแล้ว จึงเชื่อว่าทั้ง 3 ปัจจัยดังกล่าวจะทำให้การส่งออกของไทยปี 57 มีโอกาสจะเติบโตได้ราว 5%
นายคนิสร์ ยังคาดว่ายอดสินเชื่อของ EXIM BANK ในปีนี้จะเติบโตได้ 3-5% ซึ่งถือว่าไม่ได้เป็นเป้าหมายที่สูงมาก แต่คงไม่ใช่การเพิ่มขึ้นในอัตราสูงเหมือนเช่นสินเชื่อของธนาคาพาณิชย์รายอื่น ซึ่งที่ผ่านมาธนาคารได้ปล่อยสินเชื่อตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กำหนดไว้
ส่วนสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศต่อเนื่องจากช่วงปลายปีที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้ มองว่าไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการขอสินเชื่อของธนาคาร โดยผู้ประกอบการยังคงมีการขอสินเชื่อเข้ามาในระดับที่ปกติ ขณะเดียวกันยังพบว่าสินเชื่อสำหรับโครงการลงทุนระหว่างประเทศมีทิศทางที่ดีขึ้น โดยที่ผ่านมามีการปล่อยสินเชื่อให้กับประเทศลาวสูงสุด คิดเป็นสัดส่วนถึง 80% รองลงมา คือ พม่า และกัมพูชา ในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน
โดยปัจจุบัน EXIM BANK มีวงเงินสินเชื่อสำหรับโครงการการลงทุนระหว่างประเทศรวม 34,845 ล้านบาท เป็นวงเงินสำหรับโครงการลงทุนในกลุ่มประเทศ CLMV ถึง 22,612 ล้านบาท คิดเป็น 65% ของสินเชื่อโครงการระหว่างประเทศทั้งหมด