"หม่อมอุ๋ย"จี้นายกฯลาออกหยุดวิกฤต/นักวิชาการ มองหากไม่เร่งแก้ขัดแย้งตกเวทีศก.โลก

ข่าวเศรษฐกิจ Friday February 21, 2014 16:22 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวในงานเสวนา "ปฏิรูปเศรษฐกิจ กู้ไทยพ้นวิกฤต" ว่า ตอนนี้เศรษฐกิจของประเทศไทยยังไม่เสียหายเท่าปี 2540 แต่ถ้ารัฐบาลนี้อยู่ต่อไปอีก 6 เดือน มีโอกาสจะชะงักยาว
"ผมพูดจริงๆ ถ้าลาออกเสียตั้งแต่ตอนนี้ประเทศจะพ้นวิกฤต เพราะเมื่อเป็นนายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่เคยแสดงศักยภาพในการบริหารประเทศเลยได้แต่กำหนดนโยบายเท่านั้น แต่ไม่เคยลงมาดูหรือติดตามการดำเนินงานเลย โดยยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนมากที่สุด คือ โครงการรับจำนำข้าวที่หลังจากมีนโยบายนี้ออกมามีความพยายามท้วงติงจากหลายฝ่าย รวมถึงทั้งตนเองเคยเสนอไปก็ไม่รับฟัง และเมื่อพบปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นก็ยังไม่แสดงความรับผิดชอบและรีบแก้ไขปัญหา"

ทำให้ผลที่ตามมาคือ ไทยสูญเสียตำแหน่งผู้นำส่งออกข้าว โดยตั้งแต่ปี 2502-2553 ไทยส่งออกเป็นอันดับ 1 มาโดยตลอด แต่เมื่อกลับมาใช้นโยบายรับจำนำข้าว ปริมาณข้าวส่งออกลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2554 ที่เคยส่งออกได้อันดับ 1 ของโลกที่ 11 ล้านตัน แต่พอปี 2555 ถึงปัจจุบันส่งออกได้เพียง 6-7 ล้านตันเท่านั้น

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวว่า เรื่องจำนำข้าวมีทางออก มีหลายสูตร ทั้งสูตรผมซึ่งเคยพูดไปแล้ว สูตรของคนอื่นๆ นี่ไม่ใช่การโจมตีทางการเมือง

ส่วนแนวทางแก้ปัญหาจำนำข้าวด้วยการออกพันธบัตรนั้น มองว่า รัฐบาลนี้ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากอยู่ในช่วงรัฐบาลรักษาการ

พร้อมกันนี้ ยังได้แนะนำให้ประเทศไทยเร่งพัฒนา 3 เรื่อง คือ พัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะเรื่องของโลจิสติกส์และระบบขนส่งมวลชน ทางราง ทางถนน ท่าเรือปากบารา เพื่อเชื่อมต่อการส่งออกสินค้า ประเทศไทยต้องเปลี่ยนตัวเองเป็น Trading Nation ผลิตสินค้าป้อนตัวเอง ป้อนตลาดต่างประเทศ และทำให้เป็นศูนย์ของภูมิภาค

เรื่องต่อมา คือส่งเสริมการลงทุนของไทยไปต่างประเทศให้มากขึ้น เพิ่มแขนขาให้ธุรกิจไทยในต่างประเทศ เรื่องที่ 3 คือปรับกฎเกณฑ์การค้าและภาษีการค้าให้คล่องตัวเหมือนประเทศสิงคโปร์และฮ่องกง โดยแนะนำให้ส่งคนไปลอกกฎระเบียบของ 2 ประเทศนี้แล้วนำมาใช้กับการค้าบ้านเรา

ขณะที่นายนิพนธ์ พัวพงศกร ผู้อำนวยการวิจัยนโยบายเศรษฐกิจรายสาขาด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมชนบท สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) มองภาพเศรษฐกิจในระยะกลางว่า ถ้าต้องการให้ประเทศชาติพ้นวิกฤต คือ ทุกสีเสื้อต้องร่วมกันปฏิรูปประเทศเพื่ออนาคตของลูกหลาน เพราะหากคู่ขัดแย้งต่างฝ่ายต่างผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ ประเทศไทยคงจะตกเวทีเศรษฐกิจโลก จะแย่ยิ่งกว่าประเทศฟิลิปปินส์หลังยุคประธานาธิบดีมาร์กอส

นอกจากนี้ ยังเห็นว่าช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยในประเทศไทยยังมีอยู่ หากตัดคนจนที่มีในประเทศ 1% และตัดคนรวยในประเทศออกไป 1% จะสามารถลดความเหลื่อมล้ำในสังคมลงได้ อีกทั้งในช่วง 14 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจช้ามากปัญหาใหญ่คือ นักธุรกิจหันมาเล่นการเมืองมากขึ้น เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์จากการเมือง การใช้นโยบายประชานิยมที่เอาเงินมาเป็นตัวนำมันทำร้ายระบบเศรษฐกิจอย่างมาก

"เรื่องจำนำข้าวก็เหมือนกัน เอาเงินมาล่อชาวนา ถือเป็นการทำร้ายเกษตรกรอย่างมาก ถ้ารัฐบาลไม่ยุบสภาก็คงจะหาทางกู้เงินมาจ่ายชาวนา แต่โชคดีที่พระสยามเทวาธิราชช่วยเอาไว้ เพราะถ้ารัฐบาลยังเดินหน้าโครงการจำนำข้าวต่อไปอีก ไม่รู้ว่าระบบเศรษฐกิจไทยจะเสียหายขนาดไหน"นายนิพนธ์ กล่าว

สำหรับทางออกของปัญหาจำนำข้าว ปัจจุบันมีหลายภาคส่วนที่ช่วยกันเสนอทางออกให้กับปัญหาดังกล่าว ซึ่งทุกฝ่ายก็มีความเห็นที่ดีที่จะช่วยให้มีทางออกที่ดี สิ่งสำคัญคือรัฐบาลต้องลดทิฐิ เพื่อให้ชาวนาสามารถอยู่รอดได้ วิธีแก้ที่เร็วที่สุดคือการเปิดให้ชาวนานำใบประทวนไป แปลงทรัพย์สินเป็นทุน โดยนำใบประทวนไปกู้เงินกับสถาบันการเงิน มีรัฐบาลค้ำประกันพร้อมจ่ายดอกเบี้ยแทนชาวนา จนกว่าจะมีรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งแนวทางดังกล่าวสามารถที่จะทำได้ โดยใช้วิธีการจำกัดเฉพาะชาวนาที่มีใบประทวนก่อนวันที่ 9 ธ.ค.56 ก่อนการยุบสภาของรัฐบาลจะมีผล ซึ่งจะไม่ผิดกฏหมาย

ส่วนใบประทวนที่ออกหลังการยุบสภานั้นวันที่ 9 ธ.ค.56 ให้รัฐบาลไปร่วมหารือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อหาทางออก ซึ่งทางออกนั้นยังมีอยู่ แต่ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน ไม่ใช่โยนความผิดให้คนอื่น ไม่ใช่มาชี้หน้าด่ากันในภาวะเช่นนี้ โดยรัฐบาลต้องลาออกเพื่อให้มีรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศและแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้เต็มความสามารถ เพราะรัฐบาลนี้ที่อยู่ในช่วงรักษาการก็คงไม่สามารถทำอะไรได้ ทั้งการออกพันธบัตรรัฐบาลหรือบีบบังคับให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ออกพันธบัตรเพื่อนำเงินมาจ่ายค่าข้าวให้ชาวนา เนื่องจากเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายชัดเจน

ด้านนายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ในวันนี้เศรษฐกิจไทยยังไม่ถือเป็นวิกฤต แต่หากปัญหาความขัดแย้งการเมืองยังไม่ยุติในไตรมาส 2 ปีนี้ ไม่มีรัฐบาลใหม่ เกิดสุญญากาศการใช้งบประมาณขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เศรษฐกิจไทยอาจไม่เติบโต หรือติดลบ แต่หากปัญหาการเมืองจบลงโดยเร็ว เศรษฐกิจไทยในปีนี้มีโอกาสเติบโตร้อยละ 5

โดยมองว่าประเทศไทยจะก้าวไปข้างหน้าได้ ผู้นำประเทศ ต้องวางยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจ บนพื้นฐานประเทศไทยต้องเป็นผู้นำในภูมิภาคเอเชีย มีระบบการเมืองการปกครองที่มั่นคง มุ่งขจัดคอร์รัปชัน แต่ตอนนี้ประเทศไทยเจอปัญหาวิกฤติใน 3 ด้าน คือ ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม ปัญหาการคอร์รัปชัน และปัญหาการกำหนดนโยบายการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระยะยาว ซึ่งต้องเร่งปฏิรูปโดยเฉพาะในส่วนปัญหาเศรษฐกิจไทยที่จะต้องเร่งจัดการ คือการคอร์รัปชัน เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา แม้จะมีการรณรงค์โดยภาคเอกชน แต่ปัญหาดังกล่าวไม่ได้ลดลง และเยาวชนรุ่นใหม่ก็พร้อมยอมรับคนโกงที่จะเข้ามาสร้างความเจริญและพัฒนาประเทศ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ