ส่วนกรณีนางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟด ระบุว่า อาจจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกหลังจากที่เฟดยุติการใช้มาตรการ QE ไปแล้วราว 6 เดือนนั้น โฆษก ธปท. คาดว่า FED น่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงต้นไตรมาส 2 ปีหน้า เป็นระยะเร็วกว่าตลาดคาดไว้ แต่ไม่ได้ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงทิศทางดอกเบี้ยอย่างมีนัยสำคัญ
โฆษก ธปท. กล่าวถึงเศรษฐกิจไทยในปีนี้ว่า เบื้องต้นคาด GDP โตต่ำกว่า 3% ซึ่งเป็นการโตต่ำกว่าศักยภาพ แม้การอุปโภคบริโภคในประเทศในค่อยๆิฟื้นตัวกลับมา แต่ก็ยังไม่เต็มศักยภาพ เช่น การอุปโภคสินค้าไม่คงทนถือว่ายังน้อยกว่าภาวะปกติ ส่วนสินค้าประเภทคงทนก็ขยายตัวต่ำเพราะเทียบกับฐานในช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ในระดับสูง เนื่องจากมีมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐ การลงทุนก็ไม่มีความเชื่อมั่น อัตราการเติบโตน้อยกว่าที่ควรจะเป็น การเบิกจ่ายภาคการคลังยังน้อยกว่าปกติ การส่งออกแม้จะได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐและเศรษฐกิจโลก แต่ก็ขยายตัวอยู่ในระดับต่ำ ไม่เต็มศักยภาพเช่นกัน
ทั้งนี้ หากศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยให้การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 ก.พ.ที่ผ่านมาเป็นโมฆะ ก็ไม่น่ามีผลให้เศรษฐกิจไทยโตต่ำกว่าที่คาดไว้อีก ทั้งนี้ถ้าเมื่อใดที่เศรษฐกิจไทยสามารถกลับมาโตได้ตามศักยภาพ อัตราดอกเบี้ยนโยบายก็คงไม่ผ่อนคลาย โดยพร้อมกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
"เดิมปีนี้เราไม่ได้คิดว่าเศรษฐกิจจะโตได้ต่ำกว่า 3% โดยคาดไว้โต 4-5% แต่เมื่อปัจจัยต่างๆ เปลี่ยนแปลง นโยบายการเงินก็ต้องติดตามสถานการณ์และปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม ซึ่งหากไทยต้องการกลับมาโตได้ 4-5% ก็ตัองปรับตัวให้นโยบายการคลังสามารถดำเนินกิจกรรมได้เต็มศักยภาพ การลงทุนต้องก้าวข้ามการเปลี่ยนโครงสร้างการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดโลกได้ และยอมรับว่ารัฐบาลคงต้องจัดทำงบประมาณแบบขาดดุลมากขึ้นเพื่อเดินหน้าโครงการลงทุนต่างๆ ตามแผนเบิกจ่ายภายใต้กรอบงบประมาณปกติ ไม่เช่นนั้นจะทำให้ไทยสูญเสียโอกาสและขีดความสามารถในการแข่งขัน"นางรุ่ง กล่าว