ปิดตลาดเย็นนี้ เงินบาทค่อยๆ ปรับตัวอ่อนค่าลงจากช่วงเช้า โดยสัปดาห์หน้ายังคงต้องติดตามปัจจัยการเมืองในประเทศเป็นหลักเช่นเดิม ซึ่งหากตลาดมองว่าสถานการณ์มีโอกาสจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น เชื่อว่าเงินบาทจะไม่อ่อนค่าไปกว่าระดับนี้แล้ว
"ต้องดูว่าการเมืองจะมี step ไปข้างหน้าหรือเปล่า ถ้าไปข้างหน้าไปในทางที่ดี ค่าเงินก็คงไม่อ่อนไปเยอะ รวมทั้งต้องดูจากตลาดหุ้นด้วยว่านักลงทุนต่างชาติมี effect จากการประกาศมากน้อยแค่ไหน แต่เป็นเรื่องปกติที่การประกาศรัฐประหารจะทำให้ค่าเงินอ่อน ซึ่งทำให้รายได้ของประเทศหายไป แต่พวกนี้เป็นสถานการณ์ระยะสั้น หลายคนมองว่าอาจจะเป็นทางออกของประเทศก็ได้" นักบริหารเงิน ระบุนักบริหารเงิน คาดว่า สัปดาห์หน้าเงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 32.35-32.67 บาท/ดอลลาร์ ทั้งนี้ให้แนวต้านระยะสั้นไว้ที่ 32.67 และถ้าหลุดจากนี้ก็ให้แนวต้านถัดไปที่ 32.75
- ปัจจัยสำคัญ
- ปิดตลาดเย็นนี้ เงินเยนอยู่ที่ระดับ 101.90 เยน/ดอลลาร์ จากช่วงเช้าที่ระดับ 101.76 เยน/ดอลลาร์
- ส่วนเงินยูโรช่วงเย็นวันนี้อยู่ที่ระดับ 1.3620 ดอลลาร์/ยูโร จากช่วงเช้าที่ระดับ 1.3646 ดอลลาร์/ยูโร
- ดัชนี SET ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,396.84 จุด ลดลง 8.37 จุด, -0.60% โดยมีมูลค่าการซื้อขาย 53,516 ล้านบาท
- สรุปปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม ต่างชาติขายสุทธิ 6,796.17 ลบ.(SET+MAI)
- นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยภาคเช้าที่ปรับลง 20 จุดถือว่าไม่มาก มองว่านักลงทุนมีความเข้าใจ อีกทั้งพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังเข็งแกร่ง
- ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เผยหลังการรัฐประหารของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตลาดเงินตราต่างประเทศไม่ได้แสดงความตื่นตระหนก ยกเว้นในช่วงแรกที่นักลงทุนบางส่วนไม่มั่นใจสถานการณ์จึงต้องการปิดความเสี่ยงไว้ก่อน ส่งผลให้เงินบาทปรับอ่อนค่าค่อนข้างเร็วถึง 20 สตางค์ จากนั้นไม่นานก็ปรับตัวกลับมา
โดยเห็นว่าการที่ตลาดเงินในปัจจุบันมีเสถียรภาพมาจาก 2-3 ปัจจัย คือ 1.ตลาดซึมซับข่าวการเมืองมาเรื่อยๆ 2.ผู้เล่นในตลาดมองว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นจุดเปลี่ยนของสถานการณ์ความอึมครึม และไม่ได้มองเป็นข่าวร้ายทั้งหมด และ 3.ตลาดการเงินในไทยพัฒนามาถึงระดับที่มีความลึกและความกว้างพอสมควร การมีผู้ร่วมตลาดที่หลากหลายเพียงพอทำให้มีมุมมองที่สร้างเสถียรภาพ ไม่ได้เทไปในทิศทางใดทิศทางเดียวกันหมด
- ทริสเรทติ้ง ระบุว่า การบังคับใช้กฎอัยการศึกในประเทศไทยน่าจะส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของธุรกิจต่างๆ ในระยะสั้นหลังจากการประกาศบังคับใช้กฎอัยการศึกเมื่อวันที่ 20 พ.ค.57 ที่ได้ยกระดับมาเป็นการรัฐประหารยึดอำนาจการปกครองโดยกองทัพเมื่อวันที่ 22 พ.ค.57 แต่ในระยะยาวอาจส่งผลดี หากการรัฐประหารสามารถยุติความขัดแย้งทางการเมืองที่ยืดเยื้อมานานลงได้
- วันนี้นานาชาติต่างออกแถลงการณ์แสดงความกังวลต่อการประกาศรัฐประหารในประเทศไทย ทั้งองค์การสหประชาชาติ(UN), สหรัฐอเมริกา, ฝรั่งเศส, ญี่ปุ่น, อินโดนีเซีย และนิวซีแลนด์ เป็นต้น โดยต่างเรียกร้องให้ประเทศไทยเร่งคลี่คลายสถานการณ์ทางการเมืองด้วยความปรองดอง และเดินหน้าเข้าสู่การเลือกตั้งโดยเร็ว
- สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวฮ่องกง ยกเลิกทัวร์ท่องเที่ยวล็อตใหม่มายังประเทศไทยเป็นระยะเวลา 7 วัน ตั้งแต่ 24-30 พ.ค. ภายหลังจากที่มีการประกาศรัฐประหาร ซึ่งส่งผลให้ทางรัฐบาลฮ่องกงจำเป็นต้องออกคำเตือนเรื่องการเดินทางมายังประเทศไทย
- ธนาคารโลก(World Bank) อนุมัติเงิน 1.5 พันล้านดอลลาร์ ให้กับการดำเนินโครงการใหม่ 3 โครงการในยูเครน เพื่อช่วยให้ยูเครนสามารถดำเนินการปฏิรูปและสร้างระบบสาธารณูปโภค โดยการให้ความช่วยเหลือทางการเงินดังกล่าว เพราะต้องการให้ยูเครนปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ประชาชนในประเทศ และทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นได้ในช่วงเวลาที่สำคัญ
- ตลาดหุ้นยุโรปเปิดตลาดทรงตัวในวันนี้ โดยดัชนี Stoxx Europe 600 ขยับไม่ถึง 0.1% แตะ 340.92 เมื่อเวลา 08.08 น.ตามเวลาลอนดอน ขณะที่นักลงทุนรอดูการเปิดเผยข้อมูลยอดขายบ้านใหม่ของสหรัฐคืนนี้ รวมทั้งดัชนีความเชื่อมั่นธุรกิจของเยอรมนีเย็นนี้
- สมาคมแลกเปลี่ยนทองคำและเงินของจีน เปิดเผยว่า ราคาทองคำที่ตลาดฮ่องกงลดลง 13 ดอลลาร์ฮ่องกง ปิดที่ระดับ 11,977 ดอลลาร์ฮ่องกง/ตำลึงในวันนี้ โดยราคาดังกล่าวเทียบเท่ากับ 1,295.58 ดอลลาร์สหรัฐ/ทรอยออนซ์ ลดลง 1.41 ดอลลาร์สหรัฐ ที่อัตราแลกเปลี่ยนล่าสุด 1 ดอลลาร์สหรัฐ/ 7.76 ดอลลาร์ฮ่องกง