เงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ เนื่องจากยังไร้ปัจจัยใหม่เข้ามามีผลต่อการเคลื่อนไหวในช่วงนี้ เพราะปัจจัยในประเทศตอนนี้การเมืองค่อนข้างนิ่ง ขณะที่นักลงทุนรอติดตามสหรัฐประกาศตัวเลขเศรษฐกิจอีกหลายตัวในวันพฤหัสบดีนี้ เช่น ข้อมูลจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือน มิ.ย., ข้อมูลการค้าระหว่างประเทศเดือน พ.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ(PMI)ภาคบริการเดือน มิ.ย.และดัชนีภาคบริการเดือน มิ.ย.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ(ISM)
"ระหว่างวันเงินบาทไม่ค่อยขยับมากเท่าไหร่ แกว่งแคบๆ ยังไม่มีปัจจัยใหม่ คงไปรอตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่จะประกาศในวันพฤหัสฯ นี้อีกหลายตัว เพราะวันศุกร์สหรัฐจะหยุดเนื่องในวันชาติ ขณะที่ประธานเฟดจะมีแถลงในช่วง 1-2 วันนี้ ตลาดก็จับตาดูถ้อยแถลงว่าจะมีอะไรออกมา"นักบริหารเงิน กล่าวนักบริหารเงิน คาดว่า พรุ่งนี้เงินบาทน่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 32.30-32.45 บาท/ดอลลาร์
*ปัจจัยสำคัญ
- ปิดตลาดเย็นนี้ เงินเยนอยู่ที่ระดับ 101.46 เยน/ดอลลาร์ จากช่วงเช้าที่ระดับ 101.61 เยน/ดอลลาร์
- ส่วนเงินนยูโรอยู่ที่ระดับ 1.3660 ดอลลาร์/ยูโร จากช่วงเช้าที่ระดับ 1.3676 ดอลลาร์/ยูโร
- ดัชนี SET ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,491.81 เพิ่มขึ้น 6.06 จุด (+0.41%) โดยมีมูลค่าการซื้อขาย 47,161 ล้านบาท
- สรุปปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม ต่างชาติซื้อสุทธิ 558.28 ลบ.(SET+MAI)
- ที่ประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคสช.เป็นประธาน ได้มีมติให้คงอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม(VAT)ที่ 7% ต่อไปอีก 1 ปี จากที่จะสิ้นสุดในเดือนก.ย.57 รวมทั้งขยายเวลาการปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีเงินได้นิติบุคคลออกไปอีก 1 ปี ทั้งนี้เพื่อให้เป็นมาตรการในการสร้างความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ
พร้อมกันนี้ ที่ประชุม คสช.ยังได้มีมติเห็นชอบให้ประกาศวันหยุดราชการเพิ่มเติมในวันที่ 11 ส.ค.57 เพื่อให้มีช่วงวันหยุดยาวติดต่อกัน 4 วัน ตั้งแต่ 9-12 ส.ค. อันจะเป็นการช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวให้เพิ่มขึ้น
- ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยรายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ครั้งที่ 4/2557 วันที่ 18 มิ.ย.57 ซึ่ง กนง.มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.00% ต่อปี เนื่องจากเห็นว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปี หลังจากความไม่แน่นอนทางการเมืองลดลง และนโยบายภาครัฐเริ่มมีความชัดเจน ส่งผลต่อเนื่องให้ความเชื่อมั่นภาคเอกชนปรับดีขึ้นและอุปสงค์ในประเทศมีแนวโน้มฟื้นตัว พร้อมกับประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัว 1.5% ส่วนในปี 58 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวถึง 5.5%
- ตลาดหุ้นยุโรปเปิดตลาดทรงตัวในวันนี้ โดยดัชนี Stoxx Europe 600 บวก 0.2% แตะ 345.4 เมื่อเวลา 08.06 น.ตามเวลาลอนดอน ในขณะที่นักลงทุนรอดูการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานเดือนมิ.ย.และยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนพ.ค.ของสหรัฐฯ ที่จะมีการเปิดเผยคืนนี้ตามเวลาไทย
- ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวสูงขึ้นในช่วงบ่ายวันนี้ โดยดัชนี MSCI Asia Pacific บวก 0.7% แตะ 147.27 เมื่อเวลา 12.21 น.ตามเวลาโตเกียว ภายหลังจากที่สหรัฐและจีนได้เปิดเผยข้อมูลดัชนี PMI ภาคการผลิตที่สดใส
- สมาคมแลกเปลี่ยนทองคำและเงินของจีน เปิดเผยว่า ราคาทองคำที่ตลาดฮ่องกงพุ่งขึ้น 140 ดอลลาร์ฮ่องกง ปิดที่ระดับ 12,260 ดอลลาร์ฮ่องกง/ตำลึงในวันนี้ โดยราคาดังกล่าวเทียบเท่ากับ 1,327.91 ดอลลาร์สหรัฐ/ทรอยออนซ์ เพิ่มขึ้น 15.16 ดอลลาร์สหรัฐ ที่อัตราแลกเปลี่ยนล่าสุด 1 ดอลลาร์สหรัฐ/ 7.75 ดอลลาร์ฮ่องกง
- มาร์กิต อิโคโนมิกส์ เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายในเดือนมิ.ย.ของสหรัฐเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 57.3 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.53 หรือในรอบกว่า 4 ปี จาก 56.4 ในเดือนพ.ค. ซึ่งดัชนีที่อยู่เหนือระดับ 50 บ่งชี้ว่ากิจกรรมในภาคการผลิตสหรัฐขยายตัวขึ้น
- แบงก์ ออฟ คอมมิวนิเคชันส์ เปิดเผยว่า การปล่อยเงินกู้สกุลเงินหยวนล็อตใหม่ของจีนในเดือนมิ.ย.57 อาจเพิ่มขึ้นแตะ 1.1 ล้านล้านหยวน สูงกว่าระดับ 8.708 แสนล้านหยวนในเดือนพ.ค. ซึ่งการขยายตัวของยอดการปล่อยกู้ล็อตใหม่ดังกล่าว ส่วนใหญ่สะท้อนถึงสภาพคล่องจำนวนมากของธนาคารต่างๆ หลังธนาคารกลางจีนประกาศปรับลดสัดส่วนการกันสำรอง(RRR) เมื่อช่วงต้นเดือนมิ.ย.ตามที่ได้ตั้งเป้าไว้
- ออโต้ดาต้า คอร์ป ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยด้านยานยนต์ของสหรัฐเปิดเผยว่า ยอดขายรถยนต์ใหม่ในตลาดสหรัฐประจำเดือนมิ.ย.57 ซึ่งรวมถึงรถยนต์นั่งโดยสารและรถบรรทุกน้ำหนักเบา อยู่ที่ 1,420,994 คัน เพิ่มขึ้น 1.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ทำสถิติเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 ขณะที่ยอดขายโดยรวมต่อปีอยู่ที่ 16.98 ล้านคัน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.49
ส่วนในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ ยอดขายรถยนต์โดยรวมปรับตัวขึ้น 4.3% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว แตะที่ระดับ 8,163,942 คัน ซึ่งเป็นการยอดขายในช่วงครึ่งปีแรกที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่ปี 50 สะท้อนให้เห็นว่าการฟื้นตัวของตลาดรถยนต์สามารถต้นทานยอดขายที่ซบเซาลงอันเนื่องมาจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นผิดปกติซึ่งเกิดขึ้นในหลายภูมิภาคของสหรัฐในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ โดยเจเนอรัล มอเตอร์ส(GM) ยังคงเป็นแชมป์ยอดขายอันดับ 1 ในตลาดสหรัฐ