ช่วงที่ผ่านมานักลงทุนในตลาดโลกเชื่อว่าภูมิภาคเอเชียมีปัจจัยเฉพาะในแต่ละประเทศที่น่าสนใจเข้ามาลงทุน โดยในส่วนของไทยมีทั้งข่าวดี เช่น เรื่องเศรษฐกิจขยายตัวได้ดีขึ้น และคาดว่าช่วงครึ่งปีหลังจะเติบโตต่อเนื่อง รวมทั้งสถานการณ์ทางการเมืองที่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราว นำไปสู่การจัดตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ สภาปฏิรูปฯ และคณะรัฐมนตรี ซึ่งส่งผลออกมาในเชิงบวก
นอกจากนี้ ในส่วนของค่าประกันความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ (Credit Default Swap:CDS) ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา(22 พ.ค.-22 ก.ค.) พบว่า CDS ของไทยปรับลดลงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค โดยปรับลงจาก 133.5 Basis Points มาอยู่ที่ 105.5 Basis Points หรือลดลงกว่า 0.21% เทียบกับมาเลเซีย ที่ปรับจาก 97.1 Basis Points มาอยู่ที่ 85.3 Basis Points หรือลดลง -0.12% และฟิลิปปินส์ จาก 95.2 Basis Points มาอยู่ที่ 88 Basis Points หรือลดลง 0.75% สะท้อนให้เห็นว่าช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยดีขึ้น
"การติดตามอัตราแลกเปลี่ยนคงพิจารณากันวันต่อวันไม่ได้ จะต้องมองในภาพรวม ซึ่งขณะนี้ค่าเงินบาทอาจจะแข็งค่าในช่วงสั้นๆ มาจากปัจจัยนักลงทุนเชื่อมั่นต่อการเมืองและเศรษฐกิจไทย แต่ยังแข็งค่าน้อยกว่าเมื่อเทียบสกุลเงินอินโดนีเซีย และอยู่ระหว่างเกาะกลุ่มค่างเงินประเทศมาเลเซีย และเกาหลีใต้"นางรุ่ง กล่าว
นางรุ่ง กล่าวว่า แนวโน้มอัตราแลกเปลี่ยนยังมีการเคลื่อนไหวได้ทั้ง 2 ทิศทาง แม้ว่าสถานการณ์ทางการเมืองจะส่งผลบวกก็ตาม แต่ปัจจัยภายนอกประเทศมีนัยสำคัญมากกว่า ทั้งเรื่องการตีความภาวะตลาดของนักลงทุนจากนโยบายทางเศรษฐกิจประเทศมหาอำนาจ เช่น สหรัฐฯ ที่คาดว่าอาจจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หรือ ความเสี่ยงในเรื่องของประเทศในภูมิภาคต่างๆ ซึ่ง ธปท.จะติดตามสถานการณ์อัตราแลกเปลี่ยนไม่ให้เคลื่อนไหวผันผวนจนกระทบการปรับตัวของภาคธุรกิจ