(เพิ่มเติม) ตลท.เผย CEO Survey มองศก.ไทยปีนี้โตได้กว่า 1.5% เล็งลงทุนเพิ่ม,เร่งรัฐใช้จ่ายกระตุ้นศก.

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday October 8, 2014 15:02 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) เปิดเผยผลวิจัย CEO Survey รายไตรมาสครั้งล่าสุด ซึ่งนำเสนอภาพรวมเศรษฐกิจผ่านความคิดเห็นและมุมมองซีอีโอบริษัทจดทะเบียนไทยว่า CEO มองเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ดี หลังจากการเมืองมีเสถียรภาพ โดย 66% คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้มากกว่า 1.5% ในปีนี้ นอกจากนั้น 88% คาดว่าจะลงทุนเพิ่มในอีก 12 เดือนข้างหน้า โดยวางแผนขอสินเชื่อเพิ่มเติมจากธนาคารพาณิชย์ หรือใช้กำไรสะสม

นายภากร ปิตธวัชชัย รองผู้จัดการ และหัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กรและการเงิน ตลท.กล่าวในการอภิปราย"แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 57"ว่า บจ.ไทยส่วนใหญ่ยังกังวลความอ่อนไหวทางการเมือง การขาดแคลนแรงงาน หนี้ครัวเรือนที่สูง และรัฐบาลจะใช้เงินได้จริงหรือไม่

อย่างไรก็ตาม ภาพรวม บจ.ก็ยังสามารถทำผลประกอบการได้ดีสะท้อนไปที่ดัชนีหุ้นไทย (SET Index) ปรับขึ้น 20% จากต้นปี 57 ซึ่งการที่ บจ.สร้างผลกำไรได้ดีเพราะปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน มีสินค้าที่เป็น value added มากขึ้น มีการปรับราคา และขยายการลงทุนไปต่างประเทศ ผลิตสินค้าที่เจาะกลุ่มลูกค้าโดยเฉพาะ ขณะที่การบริหารความเสี่ยงทำได้ดีทั้งเรื่องสภาพคล่อง อัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยน โดยมีการทำประกันความเสี่ยงในอัตราที่สูงมาก และเปิดบัญชีซื้อขายที่ไม่ใช่เงินดอลลาร์มากขึ้น

"บจ.ไทยมีความสามารถดีขึ้น ดัชนีหุ้นก็สะท้อนเรื่องพวกนี้ และแสดงให้เห็นว่าบจ.ไทยยังมีความสามารถขึ้นเรื่อยๆ ก็จะทำให้ดัชนีปรับขึ้นได้"นายภากร กล่าว

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผลตอบแทนการลงทุนในปีนี้ยังสูงก็จริง แต่ก็มีความไม่แน่นอน และแม้ว่าการเมืองในประเทศมีความชัดเจนขึ้น รวมทั้งนโยบายเศรษฐกิจ แต่ปัจจัยในต่างประเทศยังไม่ชัดเจน ทั้งสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้ออีโบล่า ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง รัสเซีย สหรัฐ ยุโรป ที่เกิดขึ้นพร้อมๆกัน เพราะฉะนั้นนโยบายการเงินทั่วโลกก็ยังอ่อนไหวอยู่ การลงทุนก็ต้องระมัดระวัง เพราะยังมีความผันผวนเกิดขึ้นได้

นายสุรงค์ บูลกุล ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กลุ่มธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน บมจ.ปตท.(PTT) ในฐานะนายกสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย กล่าวว่า ปัญหาเศรษฐไทยตอนนี้อยู่ในภาวะเงินฝืด เกิดจากทั้งปัจจัยภายในและนอกประเทศ เช่น เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวตัวเลขเศรษฐกิจดี และใกล้สิ้นสุดมาตรการ QE ก็จะเห็นการไหลออกเม็ดเงินลงทุนกลับไปที่สหรัฐ ทำให้สภาพคล่องในระบบหายไป

ส่วนในประเทศมีปัญหาเรื่องการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ แม้โครงการอนุมัติแล้วแต่เงินยังไม่เข้า และยังมีงบฯค้างท่อปี 57 อีกจำนวนมาก รวมทั้งงบฯไทยเข้มแข็งซึ่งรวมกันราว 1.5 แสนล้านบาท เพราะฉะนั้นสิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งทำอย่างยิ่งคือการเบิกจ่ายเงินสู่รากหญ้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด แม้ว่าการลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังมีเสน่ห์ แต่นโยบายรัฐก็ต้องมีเสน่ห์ด้วยเพื่อที่จะโตได้

ด้านนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ(BBL) กล่าวว่า ปัจจัยลบที่ส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยตอนนี้คือหนี้ครัวเรือนสูงถึง 82-83% ซึ่งสูงเป็นพิเศษ ทำให้กำลังซื้อในชนบทไม่ดีและมีความกังวลเรื่องการจับจ่ายใช้สอย เพราะผลิตการเกษตรตกต่ำ เช่น ราคายางพารา ซึ่งการที่หนี้ครัวเรือนสูงสะท้อนว่ามีหนี้เยอะ รายได้ในอนาคตไม่ดี มีการบริโภคน้อยลงทำให้กำลังซื้อไม่กลับคืนมา

"ปัจจัยที่ยังส่งผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยคือ ปัญหาหนี้ครัวเรือน กำลังซื้อในประเทศ การเมืองยังอยู่ในใจ เศรษฐกิจไปได้แต่ก็ไปได้ไม่ดีมากนัก ได้บางส่วน อย่าง กเม้นท์ไฮเอนด์ไปได้ดี แม้ข้างบนดีแต่ข้างล่างมีปัญหาก็จะฟื้นแค่บางส่วน ก็จะติดขัด" ดร.กอบศักดิ์ กล่าว

สิ่งที่ต้องปรับตัวในปี 58 คือ เอกชนต้องหาการลงทุนในเฟสใหม่ๆ ซึ่งในประเทศอาจจะไปได้ไม่มากแล้ว เพราะความหวังเดียวคือ รัฐบาลทำเรื่องโครงสร้างพื้นฐานที่จะทำให้เศรษฐกิจปี 58 ขับเคลื่อนไปได้ นอกจากนี้เอกชนต้องมองหาจังหวะการลงทุนข้างนอกที่เป็นโอกาสทางธุรกิจใหม่ของบจ.ไทย อย่างการค้าชายแดนตอนนี้ที่แม่สอดเติบโต 20-30%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ