ทั้งนี้ ปัจจุบัน บริษัทมียอดขายรอโอน(Backlog) กว่า 7 พันล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ฯในปีหน้าราว 6 พันล้านบาท และส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ในปี 59
ขณะที่ยอดขายในปีหน้าบริษัทคาดว่าจะเติบโตขึ้นราว 80% จากปีนี้ โดยบริษัทมีมูลค่าโครงการที่ยังเหลือรอขายกว่า 9 พันล้านบาท จาก 3 โครการในปัจจุบัน อีกทั้งในปีจะเปิดตัวโครงการสำเพ็ง 2 เฟส 5 ในช่วงไตรมาส 2/58 บนที่ดินที่บริษัทยังไม่ได้พัฒนาอีก 40 ไร่
ส่วนผลประกอบการในปี 57 บริษัทมั่นใจว่จะมีรายได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 2 พันล้านบาท โดยคาดว่ารายได้จะเพิ่มเป็น 2.6 พันล้านบาท เติบโตจากปี 56 ที่มีรายได้ 847.39 ล้านบาท หรือเติบโตมากกว่า 200% เนื่องจากโครงการสำเพ็ง 2 เฟส 1 และ 2 มียอดโอนเพิ่มมากขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้การรับรู้รายได้ของบริษัทสูงกว่าเป้าหมาย โดย ณ สิ้นเดือน พ.ย.57 บริษัทมียอดโอนสำเพ็งเฟส 1 และ 2 อยู่ที่ 2.38 พันล้านบาท
นายทนงศักดิ์ กล่าวอีกว่า บริษัทยังเตรียมเงินลงทุนเพื่อซื้อที่ดินใหม่เพิ่มเติมบริษัทจะนำเงินในสัดส่วน 50% ของเงินที่ได้จากการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนครั้แรก (IPO) จำนวน 3.12 พันล้านบาท นำมาซื้อที่ดินในทำเลย่านปริมณฑล ซึ่งบริษัทจะเน้นการซื้อที่ดินพื้นใหญ่เพื่อมาพัฒนาเป็นโครงการมิกส์ยูส ซึ่งเป็นทั้งที่พักอาศัยและคอมมูนิตี้มอลล์ในอนาคต
สำหรับการที่หุ้น JSP ราคา ณ ปัจจุบันต่ำกว่าราคาเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก(IPO)ที่ 2.60 บาท/หุ้น คาดว่าคงเป็นเพราะจำนวนหุ้นของบริษัทที่อยู่ในตลาดค่อนข้างสูงมากเกินไป อย่างไรก็ตาม อยากให้นักลงทุนมองถึงปัจจัยพื้นฐานที่ดีของบริษัทที่จะส่งผลให้ผลประกอบการในอนาคตให้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“หุ้นเราที่ราคาต่ำจองน่าจะเป็นเพราะมีจำนวนหุ้นในตลาดมากเกินไป แต่ผมอยากให้นักลงทุนมองปัจจัยพื้นฐานของบริษัทที่ยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเงินที่ได้จาก IPO เราก็ยังนำมาต่อยอดธุรกิจให้เติบดตมากขึ้น ซึ่งเตอนนี้เงินที่ได้มาก็ยังไม่ได้ใช้เลย ตอนนี้ก็กำลังมองหาทำเลดีๆอยู่"นายทนงศักดิ์ กล่าว