จากการสำรวจของ World Economic Forum 2557-2558 ขีดความสามารถในการแข่งขันของ 144 ประเทศนั้น ไทยอยู่อันดับที่ 31 และหากเทียบกับกลุ่ม ASEAN-5 แล้ว ไทยอยู่ตรงกลางโดยตามหลังสิงคโปร์(อันดับ 2) และมาเลเซีย (อันดับ 20) แต่นำหน้าอินโดนีเซีย (อันดับ 34) และฟิลิปปินส์ (อันดับ 52)
"หากไทยไม่ปรับปรุงและต่อยอดเพื่อให้ไทยหลุดออกจากกลุ่มประเทศที่มีรายได้ปานกลางไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูง อาจจะถูกอินโดนีเซียที่กำลังเร่งพัฒนาแซงหน้าขึ้นไปในอนาคตอันใกล้ได้เช่นกัน” นายสุภศักดิ์ กล่าว
สำหรับประเทศไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันที่ดีจะดึงดูดเงินลงทุนจากต่างชาติ ทำให้เศรษฐกิจเจริญเติบโตต่อเนื่องและยกระดับความเป็นอยู่ของคนไทยให้ดีขึ้น โดยดึงเอาศักยภาพของทรัพยากรมาใช้ประโยชน์และต่อยอดได้ใน 4 ด้านที่สำคัญ ได้แก่ 1) การเป็นศูนย์กลางของหลายธุรกิจ เช่น ยานยนต์ การท่องเที่ยว การบิน นอกจากการที่ AEC ร่วมมือกับประเทศเศรษฐกิจชั้นนำในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกต่อเนื่องไปในอนาคต ได้แก่ จีน อินเดีย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และ นิวซีแลนด์ (AEC+6) จะช่วยทำให้การค้าและการลงทุนขยายตัวอย่างต่อเนื่องอีกมาก 2) การเพิ่มความสะดวกสบายในการลงทุนทำธุรกิจ ปัจจุบันไทยถูกจัดให้อยู่ในลำดับที่ 18 จากทั้งหมด 189 ประเทศที่ World Bank Group ได้ทำการสำรวจ หากเปรียบเทียบกับกลุ่ม ASEAN แล้ว อันดับของไทยตามหลังเพียงสิงคโปร์ (อันดับ 1) และมาเลเซีย (อันดับ 6) โดยด้านที่ควรปรับปรุงจากการ สำรวจ ได้แก่ การแก้ไขปัญหากรณีล้มละลายการเสียภาษี การขอสินเชื่อ และการจดทะเบียนตั้งกิจการ
3) การลงทุนในระบบขนส่งเพื่อเชื่อมโยงการคมนาคมและขนส่งในภูมิภาคอาเซียน และเป็นศูนย์กลาง ของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง เพราะที่ตั้งของไทยมีความได้เปรียบเชิงภูมิศาสตร์อยู่แล้ว ทั้งการขนส่งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ ถือเป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญของประเทศไทยเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และเกื้อหนุนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว และ 4) การใช้ไทยเป็นฐานเพื่อการลงทุนขยายธุรกิจไปยังกลุ่ม CLMV ซึ่งประกอบด้วยกัมพูชา ลาว เมียนม่าร์ และเวียดนาม
“บริษัทข้ามชาติหลายแห่งที่ใช้บริการของดีลอยท์ได้ใช้ประเทศไทยเป็นฐานเพื่อต่อยอดธุรกิจไปยังกลุ่ม CLMV ที่มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอาเซียน เนื่องจากรัฐบาลไทยมีนโยบายส่งเสริมการลงทุนที่ให้ผลประโยชน์ทั้งในด้านภาษีและด้านอื่นๆ อาทิ มาตรการสนับสนุนการจัดตั้งสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค (Regional Operating Headquarter : ROH) เป็นต้น"
นอกจากด้านของโอกาสแล้วในด้านของอุปสรรคที่จะมากระทบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจไทยก็มีเช่นกัน ที่สำคัญได้แก่ การกีดกันทางการค้า (Trade Barriers) แม้ว่าสมาชิกอาเซียนจะทยอยปรับลดภาษีศุลกากรจนเหลือ 0-5% ตามแผนการรวมตัวเป็น AEC ก็ตาม แต่สมาชิกทุกประเทศยังคงใช้มาตรการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers- NTBs) กับสินค้าที่ส่งออกมาจากประเทศสมาชิกเพื่อปกป้องผู้ประกอบการภายในประเทศของตัวเอง ไม่เพียงเท่านี้ยังมีการแข่งขันจากต่างประเทศที่รุนแรงมากขึ้น เช่น เกาหลีใต้ จีน และอินเดีย เป็นต้น ทั้งในอุตสาหกรรมการผลิตและบริการจนบางอุตสาหกรรม เช่น สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม อาหาร ผู้ประกอบการไทยต้องย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่ต้นทุนถูกกว่าหรือมีตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่ดึงดูดใจให้ลงทุน
“อีกอุปสรรคที่สำคัญ คือระดับความแตกต่างของปัจจัยพื้นฐานด้านเศรษฐกิจและสังคมของสมาชิก AEC อาทิ อัตราการรู้หนังสือ รายได้ต่อหัวประชากร อัตราการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตของประชากร และอื่นๆ สิ่งเหล่านี้อาจเป็นอุปสรรคสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อความสำเร็จในการรวมกลุ่ม AEC"นายสุภศักดิ์ กล่าว