(เพิ่มเติม) นายกฯ ชูยุทธศาสตร์บีโอไอใหม่ ช่วยหนุนศก.โตยั่งยืน

ข่าวเศรษฐกิจ Monday December 15, 2014 13:58 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนาเรื่อง "ยุทธศาสตร์การส่งเสริมการลงทุนใหม่:เพื่ออุตสาหกรรมไทยเติบโตอย่างยั่งยืน"ว่า ปัจจุบัน รัฐบาลกำลังแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจโดยรวมอย่างเร่งด่วน รวมทั้งดำเนินการเพื่อเสริมสร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศให้มีความเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง เท่าเทียมกัน และยั่งยืน ซึ่งขณะนี้ก็มีความคืบหน้าของการดำเนินงานในหลายด้าน และยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนใหม่ในระยะ 7 ปี (พ.ศ.2558-2564) ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนให้การดำเนินงานด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลมีความก้าวหน้าและประสบความสำเร็จในระยะยาว

ทั้งนี้ ภายใต้ยุทธศาสตร์ใหม่ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) มีนโยบายและมาตรการที่สอดรับกับนโยบายของรัฐบาล อาทิ การพัฒนาอุตสาหกรรมสู่การใช้เทคโนโลยีขั้นสูง มาตรการเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการโดยเฉพาะเอสเอ็มอี นโยบายส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษและพื้นที่ชายแดนภาคใต้ การส่งเสริมกิจการหรือบริการเพื่อรองรับการพัฒนา Digital Economy และการให้ส่งเสริมกิจการที่พัฒนาจากทรัพยากรในประเทศ เพื่อเพิ่มมูลค่าแก่สินค้าเกษตร รวมถึงการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน โดยเฉพาะพลังงานจากวัสดุเหลือใช้และขยะ

โดยยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนมีความสำคัญเพราะเกี่ยวข้องกับการกำหนดทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจการลงทุน ขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยให้ขยายตัวเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป ซึ่งรัฐบาลพร้อมที่จะสร้างแรงจูงใจให้เกิดการลงทุน และอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการ ให้สามารถแข่งขันกับทั่วโลกได้มากขึ้น

แผนการลงทุน 7 ปี ถ้าทุกฝ่ายร่วมมือกัน โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2558 คาดว่าภายใน 3 ปีจะเริ่มเห็นผล เศรษฐกิจจะดีขึ้น ทุกคนจะมีอาชีพและมีรายได้ ซึ่งขณะนี้รัฐบาลได้เร่งในการปรับปรุงกฎหมาย ลดสิทธิประโยชน์ขั้นพื้นฐานการส่งเสริมเทคโนโลยี เป็นต้น เพื่อสร้างแรงจูงใจให้นักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศเข้ามา

"แม้วันนี้เศรษฐกิจไทยจะมีการติดลบแต่ก็ยังดีขึ้นบ้าง แม้จะยังไม่เป็นที่พอใจมากนัก แต่เราก็ยังคาดหวังว่าปี 2558 การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจก็น่าจะอยู่ที่ประมาณการร้อยละ 3.5-4.5 ความมั่นใจของนักลงทุนมีมากขึ้น โดยตัวเลขการขอรับการสนับสนุนการส่งเสริมการลงทุนจากเดิมตัวเลขอยู่ที่ 7.6 แสนล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าปีนี้ก็น่าจะทะลุอยู่ที่ 8 แสนล้านบาทอย่างแน่นอน" นายกฯ กล่าว

สำหรับเรื่องการท่องเที่ยว สถานการณ์ก็เริ่มดีขึ้นตั้งแต่เดือนตุลาคม จนถึงช่วงฤดูการท่องเที่ยว ยอดการจองโรงแรมและตั๋วเครื่องบินเต็มทั้งหมด แต่ถ้าจะให้เทียบกับปีที่ผ่านมาก็ยังคงเทียบไม่ได้ เนื่องจากเราเจอสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบ แต่ยืนยันว่าดีขึ้น แม้การประมาณการจากปีที่ผ่านมาตัวเลขอยู่ที่ 26.7 ล้านคน แต่ตัวเลขก็ทำได้ที่ 25 ล้านคน ก็ถือว่ายังดีและยืนยันว่ากฎหมายที่เราประกาศใช้ไม่ได้มีผลกระทบต่อการท่องเที่ยวหรือนักท่องเที่ยวแต่อย่างใด แต่ทั้งหมดก็ต้องขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนขอให้เสียสละบ้างหรือมีกำไรน้อยลงบ้าง ยืนยันว่ารัฐบาลจะไม่ทำให้ขาดทุนอย่างแน่นอน

นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ขณะนี้รัฐบาลกำลังเร่งปรับโครงสร้างและการประกอบอาชีพเกษตรกรรมและปฏิรูปนโยบายต่างๆ ให้สอดคล้องตามยุทธศาสตร์การพัฒนาและความต้องการของประเทศ การพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน การส่งเสริมธุรกิจเอสเอ็มอี

"ก็ขอให้เลิกทะเลาะเบาะแว้ง เรื่องของรัฐธรรมนูญ เรื่องสภาปฏิรูปแห่งชาติ อย่าได้ไปอะไรมากนักมันกินไม่ได้ ยืนยันว่ารัฐบาลทำทุกอย่างอย่างเต็มที่ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม เพียงแต่ถ้าวันนี้เราไม่ทำ ก็ไม่มีโอกาสอีกแล้ว ไม่มีใครเข้ามาทำและผมก็คงไม่อยู่แล้ว แต่ยืนยันว่าจะทำให้ดีที่สุด ก็ต้องขอขอบคุณทุกคนที่ให้ความร่วมมือ ก็ขอให้รักกันน้อยๆ แต่รักกันนานๆ" นายกฯ กล่าว

ขณะที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ "การสร้างประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ" ว่า ประเทศไทยมีความจำเป็นที่จะต้องปรับแนวทางการดำเนินธุรกิจให้มุ่งไปสู่อุตสาหกรรมที่ใช้ทักษะ เทคโนโลยี นวัตกรรม และอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งใช้ความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น ซึ่งรวมถึงกิจการที่เกี่ยวข้องหรือรองรับกับเศรษฐกิจดิจิทัล

นอกจากนี้ ประเทศไทยควรจะเพิ่มช่องทางและกิจกรรมทางการค้า ซึ่งประเทศไทยมีความพร้อมและมีศักยภาพเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค และรัฐบาลพร้อมสนับสนุนและให้ความสำคัญในการดึงดูดบริษัทต่างชาติเข้ามาตั้งสำนักงานใหญ่ข้ามประเทศ(International Headquarter:IHQ) บริษัทการค้าระหว่างประเทศ(International Trading Centers:ITC) เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการค้าและบริการในภูมิภาค

ทั้งนี้จะต้องมีมาตรการในการดึงดูดให้นักธุรกิจเข้ามาตั้งกิจการดังกล่าวในไทย โดยรัฐบาลอยู่ระหว่างดำเนินการปรับปรุงระบบราชการ กฎหมาย และกฎระเบียบต่างๆ รวมถึงการแก้ไขประมวลรัษฎากรที่เกี่ยวกับกระทรวงการคลัง ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จได้ภายในเดือนมกราคม 2558

ด้านนางหิรัญญา สุจินัย รักษาราชการแทนเลขาธิการบีโอไอ กล่าวว่า การส่งเสริมการลงทุนภายใต้ยุทธศาสตร์ใหม่จะยกเลิกการให้สิทธิประโยชน์ตามเขตที่ตั้ง เหลือเฉพาะพื้นที่ทีมีรายได้ต่อหัวต่ำใน 20 จังหวัดเท่านั้น ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มอีก 3 ปี จากสิทธิพื้นฐานตามประเภทอุตสาหกรรม

โดยประเภทกิจการที่จะให้ส่งเสริมยังมีจำนวนใกล้เคียงกับประเภทกิจการที่ให้ส่งเสริมในปัจจุบันประมาณ 200 กว่าประเภทกิจการ แต่จะแบ่งออกเป็นกิจการที่ได้รับสิทธิประโยชน์ภาษีเงินได้นิติบุคคล ประมาณ 180 กิจการ อีกประมาณ 50 กิจการจะได้รับสิทธิประโยชน์ด้านอากรนำเข้าเครื่องจักร วัตถุดิบ และสิทธิประโยชน์ที่มิใช่ภาษี โดยมีการประกาศรายชื่อประเภทกิจการที่จะให้ส่งเสริมในเว็บไซต์บีโอไอแล้ว

สำหรับการมีผลบังคับใช้สำหรับนโยบายใหม่นี้จะเริ่มใช้สำหรับโครงการที่ยื่นขอรับการส่งเสริมตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2558 เป็นต้นไป

นอกจากนี้ ในเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ 2558 บีโอไอจะเดินสายจัดสัมมนาทำความเข้าใจเรื่องยุทธศาสตร์ใหม่ 4 ภาค ทั่วประเทศ เพื่อให้นักลงทุนไทยและต่างประเทศในพื้นที่ได้รับทราบรายละเอียด ขณะเดียวกันก็จะมีการจัดกิจกรรมสัมมนาชี้แจงนักลงทุนต่างชาติในต่างประเทศด้วย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ