วันนี้คาดว่าเงินบาทจะยังแกว่งอยู่ในกรอบแคบๆ เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยใหม่ที่จะมีผลต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงินมากนัก โดยตลาดยังคงจับตาดูหลายปัจจัยสำคัญที่จะเกิดขึ้นในสัปดาห์หน้า โดยเฉพาะการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของหลายธนาคารกลาง เช่น ธนาคารกลางยุโรป(ECB) ที่ต้องติดตามว่าจะมีการออกมาตรการ QE เพิ่มเติมหรือไม่, ธนาคารกลางสหรัฐ(FED)ธนาคารกลางญี่ปุ่น(BOJ) รวมทั้งการเลือกตั้งทั่วไปของกรีซในวันที่ 25 ม.ค.
"ตั้งแต่เปิดตลาดมาจนถึงตอนนี้เงินบาทยังทรงตัว คาดว่าวันนี้คงแกว่งแคบๆ เพราะยังไม่มีปัจจัยใหม่ ตลาดรอดูปัจจัยสำคัญหลายตัวในสัปดาห์หน้า" นักบริหารเงินกล่าวนักบริหารเงิน คาดว่า วันนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 32.72-32.85 บาท/ดอลลาร์
ล่าสุด SPOT อยู่ที่ระดับ 32.7533 บาท/ดอลลาร์ ส่วน THAI BAHT FIX 3M(14 ม.ค.) อยู่ที่ 2.01761% และ THAI BAHT FIX 6M(14 ม.ค.) อยู่ที่ 1.92331%
- ปัจจัยสำคัญ
- เปิดตลาดเช้านี้ เงินเยนอยู่ที่ระดับ 117.69 เยน/ดอลลาร์ จากช่วงเย็นวานนี้ที่ 117.57/59 เยน/ดอลลาร์
- ส่วนเงินยูโรเช้านี้ อยู่ที่ระดับ 1.1770 ดอลลาร์/ยูโร จากช่วงเย็นวานนี้ที่ 1.1773/1775 ดอลลาร์/ยูโร
- อัตราแลกเปลี่ยนบาท/ดอลลาร์ ถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักระหว่างธนาคารของ ธปท.อยู่ที่ระดับ 32.7960 บาท/ดอลลาร์
- ม.ร.ว.ปรีดิยาธร รับส่งออกปีนี้ยังพึ่งยาก มีแววเติบโตแค่ 2% เศรษฐกิจไทยปีนี้มีโอกาสโต 4% ได้ขับเคลื่อนจากปัจจัยในประเทศเป็นหลัก เร่งดันงบค้างท่อ-เบิกจ่ายงบกระตุ้น ด้านธนาคารโลกปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจโลกปีนี้ลงจาก 3.4% เหลือ 3%
- นายมนัส แจ่มเวหา อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ในสัปดาห์หน้าจะรายงานการเบิกจ่ายงบประมาณ 2558 ไตรมาสแรก ว่าในภาพรวมยังเบิกจ่ายได้ดี แต่ในส่วนของการเบิกจ่ายงบลงทุนยังต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้มาก เป็นเพราะสำนักงบประมาณตั้งเป้าไว้สูงเกินไป แต่อย่างไรก็ตามคาดทั้งปีงบประมาณจะเบิกจ่ายงบลงทุนที่มีวงเงิน 4.44 แสนล้านบาท ได้น้อยกว่า 82% ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
- นักลงทุน ผวามาตรการตลาดหลักทรัพย์ สั่งเบรกหุ้นร้อน โดยแขวน "เอสพี" ยาวเพื่อรอชี้แจงข้อมูล ยอมรับแรงเกินคาด หวั่นกระทบความเชื่อมั่นลงทุน แต่เชื่อทำแรงเก็งกำไรลดลง ด้าน สมาคมโบรกเกอร์ เผยได้ผลเกินคาด ย้ำไม่ได้ห้ามหุ้นขึ้น แต่ควรสอดรับปัจจัยพื้นฐาน เผยการสั่ง "เอสพี" เพื่อให้นักลงทุนได้รับข้อมูลครบถ้วน
- ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดสินเชื่อแบงก์ปีนี้โต 7.5% โงหัวจาก 4%ในปีก่อน จากสินเชื่อธุรกิจที่กลับมาเป็นตัวขับเคลื่อนด้วยโครงการต่างๆที่ทยอยออก แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงด้านการเบิกจ่าย-โครงการรัฐ
- ดอลลาร์สหรัฐปรับตัวลงเมื่อเทียบสกุลเงินหลักส่วนใหญ่เมื่อคืนนี้ (14 ม.ค.) หลังจากที่สหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ ซึ่งรวมถึงยอดค้าปลีกและดัชนีราคานำเข้า
- กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ เปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกทั่วไปร่วงลง 0.9% ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นการดิ่งลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.ปีที่แล้ว ขณะที่ยอดค้าปลีกพื้นฐาน ซึ่งไม่รวมภาคยานยนต์, น้ำมันเบนซิน, วัสดุก่อสร้าง และบริการด้านอาหาร ลดลง 0.4% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือนพ.ย.
- กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ดัชนีราคานำเข้าดิ่งลง 2.5% ในเดือนธ.ค. จากราคาพลังงานที่ทรุดตัวลง และเป็นการปรับตัวลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2551 ขณะที่เดือนพ.ย.ร่วงลง 1.8% โดยตัวเลขดัชนีราคานำเข้าที่อ่อนแอบ่งชี้ถึงแรงกดดันเงินเฟ้อที่ลดลงในช่วงหลายเดือนข้าง ส่วนดัชนีราคาส่งออกปรับตัวลง 1.2% ในเดือนที่แล้ว
- สมาคมแลกเปลี่ยนทองคำและเงินของจีน เปิดเผยว่า ราคาทองคำที่ตลาดฮ่องกงปรับตัวขึ้น 42 ดอลลาร์ฮ่องกง เปิดที่ระดับ 11,390 ดอลลาร์ฮ่องกง/ตำลึงในวันนี้ โดยราคาดังกล่าวเทียบเท่ากับ 1,233.67 ดอลลาร์สหรัฐ/ทรอยออนซ์ เพิ่มขึ้น 5.41 ดอลลาร์ ที่อัตราแลกเปลี่ยนล่าสุด 1 ดอลลาร์สหรัฐ/ 7.75 ดอลลาร์ฮ่องกง
- สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ เนื่องจากนักลงทุนเข้ามาช้อนซื้อเก็งกำไรหลังจากสัญญาน้ำมันดิบร่วงลงติดต่อกันหลายวันก่อนหน้านี้ โดยสัญญาน้ำมันดิบดีดตัวขึ้นปิดในแดนบวกแม้ว่าสหรัฐเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นเกินคาดก็ตาม
โดยสัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ.พุ่งขึ้น 2.59 ดอลลาร์ ปิดที่ 48.48 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.พ.ที่ตลาดลอนดอน พุ่งขึ้น 2.1 ดอลลาร์ ปิดที่ 48.69 ดอลลาร์/บาร์เรล