ทั้งนี้ แนวโน้มการค้าข้าวทั้งของโลกและของไทยในปีนี้จะขยายตัวมากขึ้น โดยผลผลิตข้าวโลกจะมีประมาณ 475.2 ล้านตัน ลดลงจากปีก่อนที่มีประมาณ 476.9 ล้านตัน หรือลดลง 0.3% เนื่องจากผลผลิตข้าวของไทย อินเดีย ญี่ปุ่น ปากีสถาน อียิปต์ ศรีลังกา และไนจีเรียจะลดลง
ขณะที่การบริโภคข้าวโลกมีประมาณ 482.9 ล้านตัน สูงกว่าผลผลิตข้าวโลก 7.7 ล้านตัน จึงคาดว่าการค้าข้าวโลกจะสูงสุดเป็นประวัติการณ์ประมาณ 41.92 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปี 57 ซึ่งมีประมาณ 41.88 ล้านตัน เนื่องจากประเทศผู้นำเข้าหลายประเทศต้องการนำเข้าข้าวมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจีนคาดว่านำเข้า 4.0 ล้านตัน ไนจีเรีย 3.5 ล้านตัน อิหร่านและฟิลิปปินส์ประเทศละ 1.7 ล้านตัน
พล.อ.ฉัตรชัย กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ได้วางแนวทางที่จะร่วมกับภาคเอกชนขยายตลาดและรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดข้าวไทยกับประเทศผู้นำเข้าข้าวหลักในทุกภูมิภาคทั่วโลก โดยให้ความสำคัญกับผู้ซื้อในแต่ละภูมิภาคที่มีความต้องการหลากหลาย ซึ่งข้าวไทยมีความพร้อมที่จะสนองความต้องการในทุกรูปแบบ ดังนี้ ภูมิภาคเอเชีย ได้แก่ จีน ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และบังกลาเทศ ฯลฯ ส่วนใหญ่ต้องการนำเข้าข้าวหอมมะลิไทย ข้าวเหนียว ข้าวขาว และข้าวนึ่ง
ส่วนภูมิภาคแอฟริกา ได้แก่ แอฟริกาใต้ เซเนกัล โกตดิวัวร์ มอริตาเนีย แคเมอรูน และกานาส่วนใหญ่ต้องการนำเข้าข้าวนึ่ง ข้าวขาว และปลายข้าวหอมมะลิไทย, ภูมิภาคตะวันออกกลาง ได้แก่ อิหร่าน อิรัก และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ต้องการนำเข้าข้าวขาวคุณภาพดี
ด้านภูมิภาคยุโรปและอเมริกา ได้แก่ สหรัฐฯ แคนาดา เนเธอร์แลนด์ อิตาลี ฝรั่งเศส และประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป (EC-27) ต้องการนำเข้าข้าวหอมมะลิไทย ข้าวอินทรีย์ และข้าวลักษณะพิเศษที่มีคุณค่าโภชนาการสูง