"หม่อมอุ๋ย"คุยเอกชนประสานแนวร่วมขับเคลื่อนศก.แนะปลูกอ้อยแทนข้าว-ยกระดับสินค้าส่งออก

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday April 9, 2015 16:13 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการหารือร่วมกับภาคเอกชนว่า ในวันนี้ได้มีการเชิญภาคเอกชนมาพูดคุยถึงการทำงานในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและอุปสรรคปัญหาต่างๆ ที่ยังมีอยู่ เพื่อที่รัฐบาลจะได้รับทราบและหาแนวทางแก้ไขปัญหาให้ โดยไม่ได้มีการพูดถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม
"เขามาในฐานะเพื่อนผม มีอะไรก็มาบ่นกันในวงแคบๆ จะได้ข้อเสนอกันบ้าง เลิกบ่นข้างนอก มาบ่นกันข้างใน บ่นกันเดือนละครั้ง ยังบ่นได้เรื่อยๆ ตราบใดยังอยู่ในตำแหน่ง" ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว

ทั้งนี้ ได้มีการพูดคุยเรื่องการปรับเปลี่ยนพื้นที่การปลูกข้าวไปเป็นพื้นที่ปลูกอ้อย ซึ่งขณะนี้มีพื้นที่ที่เตรียมไว้ประมาณ 1 ล้านไร่ แต่หากมีการตรวจสอบรายละเอียดในแต่ละพื้นที่และไม่พบว่ามีพื้นที่ทับซ้อนกันก็อาจเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 1.8 ล้านไร่ พร้อมทั้งกำหนดเงื่อนไขให้โรงงานน้ำตาลเซ็นสัญญาการรับซื้ออ้อยของเกษตรกรไว้ด้วย

สำหรับแนวคิดการผลักดันยกระดับสินค้าส่งออกของไทยให้กลายเป็นแบรนด์โปรดักส์ไทยแลนด์นั้น ในการหารือได้มอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรมไปศึกษาและจัดทำมาตรฐานรับรอง เพื่อช่วยยกระดับราคาสินค้าให้เพิ่มสูงขึ้น

รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม(SMEs) ที่มีการลงทะเบียนแล้วประมาณ 6-7 แสนราย และมีการกู้เงินจากธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย(ธพว.) หรือ SME Bank ประมาณ 4.6 แสนรายว่า รัฐบาลพร้อมให้ความช่วยเหลือแพ็คเกจทางการเงินและสามารถกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์อื่นๆ ได้ เพื่อขับเคลื่อน SMEs ให้เร็วขึ้น พร้อมทั้งจะให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อยม(บสย.) เข้ามามีส่วนช่วยในการค้ำประกันให้กับ SMEs ด้วย

ส่วนมาตรการทางภาษี เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs นั้น เนื่องจากยังพบว่ามีธุรกิจ SMEs อยู่นอกระบบภาษีจำนวนมาก ซึ่งรัฐบาลพร้อมที่จะดำเนินการนิรโทษกรรมทางภาษี แต่อยากให้ธุรกิจ SMEs เหล่านี้เข้าสู่ระบบภาษีให้ถูกต้อง และกระทรวงคลังก็พร้อมที่จะพิจารณาให้

ด้านนายนพพร เทพสิทธา ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย กล่าวภายหลังการหารือว่า ภาคเอกชนมีความเป็นห่วงในเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยนที่อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออก แต่หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ก็เชื่อมั่นว่าจะมีส่วนช่วยเรื่องการส่งออก และมั่นใจว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะดูแลเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด ส่วนเรื่องค่าเงินแม้ในการหารือจะไม่มีการพูดคุยกัน แต่ก็เชื่อมั่นว่าทางธนาคารแห่งประเทศไทยจะดูแลเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดด้วยเช่นกัน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ