"อัตราผลตอบแทนปีนี้มีโอกาสบวก หากเฟดส่งสัญญาณดอกเบี้ยในไตรมาส 2 หรือ ช่วงกลางปี เพราะเมื่อนักลงทุนเล่นข่าวร้ายขึ้นดอกเบี้ยจบเร็ว ก็จะมีเวลาอีกครึ่งปีหลังในการเล่นข่าวอื่นๆ และเชื่อว่าจะหนุนให้ราคาทองคำขยับขึ้น รวมถึงยังคาดว่าจะมีปัจจัยอื่นเข้ามาหนุน และยังมีเทคนิครีบาวน์ หลังราคาทองคำตอบรับข่าวลบไปแล้ว"นายกมลธัญ กล่าว
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยทองคำมองทิศทางระยะยาวมีโอกาสปรับตัวลดลง และหากราคาทองคำยังเป็นขาลงไม่เปลี่ยนแปลงจะทำให้ส่วนต่างของราคาทองคำปรับตัวลดลง 150 ดอลลาร์/ออนซ์ หากเทียบกับราคาหน้าหน้าเหมืองที่ 1,050 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยปัจจุบันราคาทองคำหน้าเหมืองของบริษัทใหญ่ๆ มีตั้งแต่ 1,050-900 เหรียญ อย่างไรก็ตาม หากราคาทองคำปรับตัวลดลงมาที่ระดับ 1,050 ดอลลาร์/ออนซ์จะเห็นราคาทองในประเทศจะอยู่ระดับประมาณ 16,000-16,500 บาท ถ้าอยู่ระดับ 900 ดอลลาร์/ออนซ์จะอยู่ที่ 15,000-16,000 บาท
ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นราคาทองคำในระยะสามเดือนข้างหน้าปรับตัวลดลงต่อเนื่องโดยลดลง 1.06 จุดมาอยู่ที่ระดับ 48.78 สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนและผู้ค้าทองคำยังมีความกังวลต่อการฟื้นตัวของราคาทองคำและเชื่อว่าราคาทองคำอาจจะมีการอ่อนตัวลงอีกครั้งในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า อย่างไรก็ดีเราประเมินว่าการปรับดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ น่าจะยังอยู่ในช่วงปลายไตรมาส 2 ถึงช่วงไตรมาส 3 เนื่องจากยังมีผลกระทบจากการแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่กระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอยู่พอสมควร
ส่วนกลยุทธ์การลงทุนในระยะ 2-3 เดือนนี้ สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนในทองคำแท่ง แนะนำหาจังหวะทำกำไร ส่วนนักลงทุนที่ลงทุนใน Gold Futures ถ้าหากจะเก็งกำไรมองว่าเป็นจังหวะที่ดีในการเปิดสถานะขาย(Short) หรือทำกำไรออกมาบางส่วน เพราะช่วงเทศกาลราคาทองคำจะรีบาวด์ แม้ความต้องการจะลดลง แต่ถ้าพิจารณาปริมาณอาจจะน้อยกว่าปีก่อน ซึ่งช่วงเทศกาลนี้เป็นจังหวะที่ดีสำหรับคนปิด (Short) หรือทำกำไรออกมาบางส่วน
สำหรับความเคลื่อนไหวของราคาทองคำในปีนี้ ยังคงอิงอยู่กับปัจจัยจากต่างประเทศ โดยเฉพาะเรื่องของการปรับดอกเบี้ย ซึ่งหากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ส่งสัญญาณขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงกลางปี อาจส่งผลให้นักลงทุนยังคงกังวลในเรื่องดังกล่าว อย่างไรก็ตามราคาทองคำจะตอบรับกับข่าวร้ายเร็วขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ราคาทองคำก็รีบาวน์กลับขึ้นมาได้
นายกมลธัญ กล่าวว่า ความต้องการซื้อทองคำในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้มีแนวโน้มชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากเศรษฐกิจในประเทศ การบริโภคในประเทศ รวมถึงตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆ ยังชะลอตัว โดยตัวเลขภาคการส่งออกติดลบกว่า 2% ประกอบกับหนี้ภาคครัวเรือนสูงขึ้น ทำให้คาดว่าความต้องการทองชะลอตัวลงตามทิศทางการบริโภคในประเทศที่ชะลอตัว เนื่องจากทองคำเป็นสินค้าลำดับต้นๆ ที่ผู้บริโภคจะชะลอการจับจ่าย เพราะทองคำยังคงเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย อย่างไรก็ตาม ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้อาจจะเห็นราคาทองคำขยับบวกได้ เพราะเป็นช่วงเทศกาลที่มีผู้บริโภคบางส่วนที่ยังมีความต้องการซื้อทองคำ แม้จะลดลงจากปีก่อนบ้าง