รมว.พาณิชย์ เน้นงาน 6 เดือนข้างหน้าผลักดันส่งออก-ดูแลสินค้าเกษตร-พร้อมรับ AEC

ข่าวเศรษฐกิจ Monday April 20, 2015 18:12 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.พาณิชย์ กล่าวในการแถลงผลงานรอบ 6 เดือน(12 ก.ย.57-12 มี.ค.58)ถึงการดูแลด้านการส่งออก โดยยอมรับว่าจุดอ่อนในการทำงานของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา คือ โชคไม่ดีที่เข้ามาบริหารงานในภาวะที่เศรษฐกิจมีปัญหา แต่ยืนยันว่าข้าราชการกระทรวงพาณิชย์ทุกคนมีความพร้อมและตั้งใจทำงาน และมีแผนการทำงานที่ชัดเจน ซึ่งวันพรุ่งนี้(21 เม.ย.) จะเชิญภาคเอกชนมาร่วมให้ข้อเสนอแนะต่างๆ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการแก้ไขปัญหาด้านการส่งออกของประเทศต่อไป
"เราโชคไม่ดีที่เข้ามาในช่วงที่เศรษฐกิจโลกมีปัญหา แต่ยืนยันว่าทุกคนพร้อมทำงาน มีแผนงานชัดเจน พรุ่งนี้เราจะเชิญภาคเอกชนมาหาทางออกร่วมกัน รวมทั้งให้ข้อเสนอแนะ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถแก้ไขปัญหาได้" พล.อ.ฉัตรชัย กล่าว

ในระยะ 6 เดือนข้างหน้ากระทรวงพาณิชย์จะให้ความสำคัญกับการดูแลใน 4 เรื่อง ประกอบด้วย 1.การส่งออก ซึ่งการทำงานในช่วงจากนี้ไปจะให้ความสำคัญกับการเชิญหน่วยงานภาคเอกชนเข้ามาหารือให้มากขึ้น 2.การดูแลสินค้าเกษตร ที่จะต้องทำงานร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้มากขึ้น เพื่อให้เกษตรกรผลิตสินค้าได้อย่างมีคุณภาพตามที่ตลาดต้องการ 3.การเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการตามแผนในการเตรียมความพร้อมให้แก่ทุกภาคส่วนไปค่อนข้างมากแล้ว และเมื่อเข้าสู่ AEC อย่างสมบูรณ์ในปลายปี 58 นี้ ก็จะใช้ประโยชน์ให้เต็มที่ รวมทั้งการใช้ประโยชน์จากการค้าชายแดน 4.การสนับสนุน SMEs ให้เข้าสู่เวทีโลก

พล.อ.ฉัตรชัย กล่าวว่า ผลงานที่สำคัญ ประกอบด้วยงาน 5 ด้าน คือ 1.ด้านการบริหารจัดการสินค้าเกษตรหลักที่สำคัญในเชิงรุก โดยในส่วนของสินค้าข้าวได้มีการระบายข้าวในสต็อกผ่านการประมูลทั่วไปรวม 6 ครั้ง และขายข้าวฤดูใหม่ให้กับรัฐบาลต่างประเทศ 4 สัญญา ปริมาณรวมประมาณ 3 ล้านตัน มูลค่ารวมประมาณ 36,000 ล้านบาท ซึ่งปริมาณข้าวที่ขายให้กับรัฐบาลต่างประเทศ ประกอบด้วย จีน 4 แสนตัน ฟิลิปปินส์ 5 แสนตัน และอินโดนีเซียอีก 1.5 แสนตัน และยังมีสัญญาอยู่ระหว่างการเจรจาส่งมอบในระยะต่อไปอีกกว่า 2.6 ล้านตัน ทั้งนี้มีผลจากการผลักดันการส่งออกในช่วงครึ่งหลังของปี 57 ทำให้เมื่อสิ้นปี 57 ยอดส่งออกข้าวทะลุกว่า 10 ล้านตัน สามารถทวงแชมป์ส่งออกข้าวโลกคืนมาได้อีกครั้ง นอกจากนี้มีแผนจะเดินทางไปทวงคืนและขยายตลาดข้าวในอีกหลายประเทศ

สำหรับการช่วยเหลือเกษตรกรนั้นไม่ใช้มาตรการบิดเบือนกลไกตลาด ผ่านการขอความร่วมมือผู้ประกอบการเอกชนซึ่งมีมาตรการสำคัญ อาทิ มาตรการลดต้นทุนปัจจัยการผลิตให้แก่เกษตรกร ทำให้ต้นทุนลดลงโดยเฉลี่ยไร่ละ 432 บาท มาตรการให้สินเชื่อแก่เกษตรกรเพื่อชะลอการขาย มาตรการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อกข้าวเปลือก และจัดตลาดนัดรับซื้อจากเกษตรกร ช่วยให้ราคา ณ ท่าข้าว โรงสี ปรับเพิ่มขึ้นตันละ 100-800บาท เป็นต้น ผลของมาตรการดังกล่าวช่วยให้รักษาระดับราคาข้าวเปลือกเจ้า ความชื้น 15% ไว้ที่ราคาตันละ 8,200-8,500 บาท และจะดำเนินการต่อไปสำหรับนาปรัง

ส่วนสินค้าเกษตรอื่นๆ นั้นได้วางแผนเชิงรุกร่วมกับกระทรวงเกษตรฯ เพื่อเตรียมรับมือก่อนผลผลิตออกสู่ตลาด โดยให้ความสำคัญเป็นพิเศษแก่สินค้ามันสำปะหลัง, ผลไม้, ปาล์มน้ำมัน, ข้าวโพด และยางพารา ขณะที่สินค้าผลไม้ ได้กำหนดแผนการระบายผลไม้ไปยังตลาดที่ห่างไกลแหล่งผลิต รวมถึงด่านการค้าชายแดนและการส่งออก โดยจัดคณะผู้แทนการค้าสินค้าผักและผลไม้ไปเยือนอินโดนีเซีย มีการสั่งซื้อผลไม้สดทันทีมูลค่ากว่า 35 ล้านบาท และคาดว่าจะมียอดสั่งซื้อเพิ่มอีกกว่า 190 ล้านบาท

2.ด้านการดูแลค่าครองชีพให้แก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อย ติดตาม เฝ้าระวัง สถานการณ์และราคาสินค้าทุกวัน รวมถึงการชั่งตวงวัด เพื่อป้องปรามไม่ให้มีการเอาเปรียบผู้บริโภค และปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัย นอกจากนี้ยังจัดงาน "ธงฟ้า"ตามจังหวัดและอำเภอต่างๆ และจัด"ธงฟ้าเคลื่อนที่"ถึงบ้านผู้มีรายได้น้อยตามแหล่งชุมชนทุกจังหวัดเพื่อสร้างทางเลือกให้คนไทยมีสินค้าราคาถูกกว่าท้องตลาดกว่าร้อยละ 30 มีการจัดต่อเนื่องรวมทั้งสิ้น 1,000 ครั้ง มูลค่าจำหน่ายกว่า 1,300 ล้านบาท ลดค่าครองชีพได้ถึง 550 ล้านบาท

ขณะที่โครงการ "เทใจ คืนสุข สู่ประชาชน" โดยร่วมมือกับผู้ผลิต ผู้ประกอบการ ร้านค้าปลีกค้าส่ง ห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อกว่า 12,000 สาขาทั่วประเทศ พร้อมใจกันลดราคาถึงร้อยละ 70 โดยมียอดขายทั้งสิ้นประมาณ 50,000 ล้านบาท และช่วงเปิดเทอม ระหว่างวันที่ 30 เม.ย.-10 พ.ค.จะจัดทำโครงการ "เทใจ คืนสุข ต้อนรับเปิดเทอม" ร่วมกับห้างและร้านค้าทั่วประเทศเพื่อลดราคาชุดนักเรียน อุปกรณ์การเรียน และสินค้าอุปโภคบริโภคอื่นๆ เป็นการลดภาระผู้ปกครองช่วงเวลาเปิดเทอม พร้อมกันนี้ยังมีโครงการ "หนูณิชย์พาชิม" เป็นการคืนความสุขทุกจานให้แก่ประชาชน โดยคัดสรรร้านอาหารราคาถูก สะอาด ดี และอร่อย ขึ้นทะเบียนแล้วกว่า 2,600 ร้านทั่วประเทศ จำหน่ายจานละ 30-35 บาท สามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายให้ประชาชนได้ถึงวันละเกือบ 2.2 ล้านบาท

3. ด้านต่างประเทศ ได้ให้ความสำคัญกับ AEC รวมทั้งการเจรจาระหว่างอาเซียนกับคู่ค้า 6 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี และอินเดีย หรือ RCEP(Regional Comprehensive Economic Partnership) จะครอบคลุมตลาดที่มีประชากรกว่า 3 พันล้านคน, การเจรจา FTA ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้เริ่มการเจรจากับตุรกีและปากีสถาน เพิ่มเติมจากปัจจุบันที่มีอยู่กับ 16 ประเทศ รวมทั้งอาเซียน

พล.อ.ฉัตรชัย กล่าวถึงการนำคณะไป Road show ที่ประเทศอินเดียว่า ได้มีการตกลงร่วมกับรัฐมนตรีการค้าอินเดียจะขยายการเจรจา FTA ของสองประเทศ และเอกชนได้ลงนาม MOU หลายฉบับ อาทิ การก่อสร้างท่าเรือในมุมไบ มีมูลค่า 10,000 ล้านบาท การลงทุนของภาคเอกชนของอินเดียตั้งโรงงานผลิตยางรถยนต์ที่จังหวัดระยองเพื่อส่งออก มูลค่าการลงทุนกว่า 5,000 ล้านบาท ซึ่งจะมีผลให้ใช้ยางพาราในประเทศเพิ่มปีละกว่าแสนตัน

ส่วนการส่งออกในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมามีมูลค่า 92,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าร้อยละ 0.88 เนื่องจากประสบปัญหา อาทิ เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวช้า ค่าเงินของคู่ค้าคู่แข่งอ่อนตัวลงมากเมื่อเปรียบเทียบกับค่าเงินบาทไทย ประกอบกับราคาน้ำมันและสินค้าเกษตรโลกลดต่ำ เป็นต้น กระทรวงพาณิชย์ได้กำหนดยุทธศาสตร์ที่จะรักษาตลาดหลัก โดยใช้กลยุทธ์ เช่น จัดงานแสดงสินค้าขนาดใหญ่ในประเทศ เพื่อให้ผู้ซื้อต่างประเทศมาเลือกสินค้า นำผู้ประกอบการไทยไปจัดกิจกรรมในต่างประเทศ และดำเนินมาตรการผลักดันตลาดใหม่ๆ ที่จะส่งออกเพิ่มขึ้น เช่น เมืองรองในประเทศ จีน อินเดีย ตะวันออกกลาง และแอฟริกา เป็นต้น นอกจากนั้น ยังขอความร่วมมือผู้ประกอบการรายใหญ่ ดำเนิน “โครงการพี่จูงน้อง" ที่ผู้ประกอบการรายใหญ่นำผู้ประกอบการ SMEs บุกตลาดต่างประเทศ

4.ด้านการเตรียมความพร้อมให้ไทยเข้าสู่ AEC กำหนดเป้าหมายผลักดันมูลค่าการค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนและการค้าผ่านแดนให้ถึง 1.5 ล้านล้านบาท ในปี 58 เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 35 จากปีก่อนหน้า โดยได้ริเริ่ม “แม่สอดโมเดล" มีการจัดงานมหกรรมการค้าชายแดนและจับคู่ธุรกิจ จังหวัดตาก เกิดการซื้อขายทันทีรวมกว่า 400 ล้านบาท และทำสัญญาเพื่อลงทุนระหว่างกันไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท และมีการหารือระหว่างรัฐมนตรีประเทศเพื่อนบ้านกำหนดแนวทางความร่วมมือทางการค้าและการลงทุน ทั้งนี้ ได้จัดเพิ่มเติมแล้วที่จังหวัดมุกดาหารและสระแก้ว และกำหนดจะจัดต่อไปที่จังหวัดตราดและสงขลา

สำหรับอำนวยความสะดวกทางการค้า มีการจัดตั้งศูนย์ AEC Business Support Center ใน 8 ประเทศอาเซียนให้บริการข้อมูลเชิงลึกด้านการค้าการลงทุน มีผู้ประกอบการไปขยายตลาดอาเซียนได้ 534 ราย มีมูลค่าการสั่งซื้อประมาณ 1,511 ล้านบาท, เร่งสร้างศักยภาพธุรกิจไทยอย่างครบวงจร โดยยกระดับการบริหารจัดการและเชื่อมโยงเครือข่ายมากกว่า 17,000 ราย อีกทั้งพัฒนาและให้บริการด้านการค้าระหว่างประเทศแก่ผู้ประกอบการและนักออกแบบพร้อมสู่เวทีการค้าโลกอีกกว่า 57,000ราย มีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาอำนวยความสะดวกทางการค้า อาทิ จัดตั้งคลังข้อมูลการค้า ให้บริการรับงบการเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (E-Filing) ขยายตลาดการค้าผ่านเว็บไซต์ Thaitrade.com และ Thaicommercestore.com เป็นต้น ทั้งนี้ จะจัดทำแอปพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถือ "ลายแทงของถูก" เพื่อเพิ่มทางเลือกในการซื้อสินค้าอย่าง "ฉลาดซื้อ ประหยัดใช้" เริ่มเปิดบริการในเดือน พ.ค.นี้

5.ด้านการวางรากฐานในอนาคตเพื่อก้าวไปสู่ความเป็นชาติการค้าในด้านโครงสร้างได้ผลักดันจัดตั้งสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า เพื่อทำหน้าที่กำหนดยุทธศาสตร์สำคัญในการขับเคลื่อนสู่ชาติการค้า มีการขยายการค้าบริการให้เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน พัฒนาโลจิสติกส์ และจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้า เพื่อก้าวไปสู่ความเป็นชาติการค้าต่อไป ขณะที่ด้านกฎหมาย ปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัย เป็นสากลมากขึ้น เช่น พ.ร.บ.เกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา, พ.ร.บ.แข่งขันทางการค้า และ พ.ร.บ.นำเข้าส่งออก เป็นต้น

สำหรับการแถลงผลงานของกระทรวงพาณิชย์ครั้งนี้ นอกจากจะมีภาคเอกชนของไทยร่วมรับฟังแล้ว ยังมีเอกอัครราชทูต, อุปทูต, ผู้ช่วยทูตจากต่างประเทศประมาณ 40 ประเทศ คณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย รวมทั้งสมาคมการค้าจากต่างประเทศ เช่น สมาคมการค้ายูโรเปียนเพื่อธุรกิจและการพาณิชย์(EABC) เข้าร่วมรับฟังด้วย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ