(เพิ่มเติม) ธปท.ระบุตั้งแต่ต้นปี-ปัจจุบันบาทอ่อนค่าราว 2%, มองระยะต่อไปยังผันผวน

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday May 21, 2015 16:15 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางจันทวรรณ สุจริตกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) แถลงภาวะตลาดการเงินไทยตั้งแต่ต้นปี 58 โดยระบุว่า หากนับจากต้นปี ปัจจุบัน(อัตราปิด ณ วันที่ 20 พ.ค.) เงินบาทอ่อนค่าลงประมาณ 2% และการเปลี่ยนแปลงค่าเงินที่ขึ้นลงค่อนข้างเร็วส่งผลให้ความผันผวนปรับเพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนหน้าที่ประมาณ 3-4% มาอยู่ที่ประมาณ 6-7% อย่างไรก็ดี ความผันผวนโดยเฉลี่ยยังต่ำกว่าค่าเงินสกุลอื่นๆ ในภูมิภาค

ทั้งนี้ ตั้งแต่เดือนมี.ค.เป็นต้นมา ค่าเงินบาทเริ่มเคลื่อนไหวผันผวนในสองทิศทางมากขึ้น โดยเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าหลังคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในวันที่ 11 มี.ค. แต่ก็ปรับแข็งค่าขึ้นหลังจากการประชุม FOMC ของสหรัฐฯซึ่งเนื้อหาในแถลงข่าวเป็นไปในทิศทางที่ผ่อนปรนกว่าที่ตลาดคาด อีกทั้ง IMF ปรับลดประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ลง รวมทั้งปัจจัยภายในจากการประกาศยกเลิกกฎอัยการศึกของไทย

จากนั้นในช่วงปลายเดือนเม.ย. หลังจากกนง.ตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกครั้ง เนื่องจากประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวในอัตราที่ต่ำกว่าที่เคยประเมินไว้ ประกบกับธปท.ผ่อนคลายเกณฑ์เงินทุนเคลื่อนย้าย ซึ่งจะเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ออมและนักลงทุนไทยได้ลงทุนในต่างประเทศได้สะดวกมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะมีส่วนช่วยสร้างสมดุลให้กับเงินทุนเคลื่อนย้ายในระยะยาว ปัจจัยดังกล่าวทำให้ผู้ร่วมตลาดปรับมุมมองเกี่ยวกับค่าเงินบาท โดยเห็นว่าค่าเงินบาทมีโอกาสที่จะอ่อนค่าได้มากขึ้น

นอกจากนี้ ในช่วงต้นเดือนพ.ค.ที่ผ่านมาตลาดการเงินโลกมีความกังวลเกี่ยวกับราคาสินทรัพย์ จากคำเตือนของประธาน FED ที่แสดงความกังวลว่าอาจเกิด Overvaluation ในราคาหุ้นและมีความเสี่ยงอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวจะปรับขึ้นเร็ว หาก FED เริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จึงทำให้นักลงทุนเทขายสินทรัพย์ต่างๆ กดดันให้เงินภูมิภาคและเงินบาทอ่อนค่าเร็ว โดยในเดือนพ.ค. ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 33.18-33.88 บาท

นางจันทวรรณ กล่าวว่า ค่าเงินบาทในปัจจุบันเฉลี่ยที่ประมาณ 33.50 บาท/ดอลลาร์ ถือเป็นระดับที่ทั้งผู้นำเข้าและส่งออกพึงพอใจ และช่วยผู้ส่งออกให้มีรายได้จากเงินบาทมากขึ้น และสามารถประคองผู้ส่งออกในช่วงภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวได้

สำหรับในระยะต่อไปค่าเงินยังมีแนวโน้มที่จะผันผวนจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ โดยตลาดยังคงจับตาการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่แกตต่างกันของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลัก ไม่ว่าจะเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของยุโรปและญี่ปุ่น รวมทั้งจังหวะเวลาของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ ขณะเดียวกันตลาดยังคงกังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน เนื่องจากส่งผลต่อการส่งออกของภูมิภาคเอเชียที่เริ่มเห็นสัญญาณการหดตัวตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา

"แนวโน้มค่าเงินบาทในช่วงที่เหลือของปี 2558 ยังคงผันผวน โดยเฉพาะเมื่อใกล้การประชุมธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) เพราะตลาดจะมีการคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ ซึ่งขณะนี้คาดว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วที่สุดในช่วงเดือนก.ย.หรืออย่างช้าในช่วงปลายปี ดังนั้นผู้ประกอบการไม่ควรวางใจต่ออัตราแลกเปลี่ยน และควรทำประกันความเสี่ยงด้านเงินตราต่างประเทศ" นางจันทวรรณ กล่าว

ด้านน.ส.วชิรา อารมย์ดี ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายตลาดการเงิน ธปท.กล่าวว่า ค่าเงินบาทตั้งแต่ต้นปี ถึงปัจจุบันอ่อนค่าประมาณ 2% เมื่อเทียบกับดอลล่าร์สหรัฐ แต่แข็งค่าขึ้น 2.75% เมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง แต่ถือว่าแข็งค่าน้อยลง เมื่อเทียบกับช่วงที่แข็งค่าที่สุดช่วงต้นปีที่ 3.75% ซึ่งช่วยทำให้ผู้ประกอบการสามารถกำหนดราคาสินค้าเพื่อแข่งขันได้ง่ายขึ้น ด้านอัตราความผันผวนของค่าเงินอยู่ที่ 6-7% เพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนหน้านี้ที่อยู่ที่ 3-4%

นอกจากนี้ ธปท.ยังได้เสนอกระทรวงการคลังเพื่อพิจารณาอนุมัติเพื่อประกาศใช้มาตรการผ่อนคลายเงินทุนไหลออกเพิ่มเติมอีก 2 เรื่อง คือ การเปิดให้วงเงินให้บุคคลในประเทศซื้อเงินตราต่างประเทศเพื่อฝากกับสถาบันการเงินในประเทศได้ โดยมียอดคงค้างไม่เกิน 5 ล้านดอลลาร์จากเดิมไม่เกิน 5 แสนดอลลาร์สหรัฐ และขยายวงเงินให้บุคคลในประเทศโอนเงินออกเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์หรือเช่าอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศได้ไม่เกินปีละ 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากเดิมไม่เกิน 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ