สหรัฐตั้งเป้าขึ้นเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทย ขอไทยเปิดตลาดเนื้อวัว-เนื้อหมู

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday June 11, 2015 12:05 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางดวงกมล เจียมบุตร โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากการเข้าเยี่ยมคารวะ รมว.พาณิชย์ของอุปทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย(Mr. Patrick Murphy) ได้หารือและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันหลายด้านก่อนที่เอกอัครราชทูตคนใหม่จะเข้ามารับตำแหน่งเร็วๆ นี้ โดยในด้านการค้าสหรัฐฯ แจ้งว่าร่างกฎหมาย GSP ได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภาแล้วเมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา ขณะนี้รอรัฐสภาสหรัฐเห็นชอบ หากรัฐสภาสหรัฐฯ เห็นชอบก็จะทำให้ไทยส่งออกสินค้าภายใต้สิทธิ GSP ไปยังสหรัฐฯ ได้ต่อไป และเพิ่มมูลค่าสูงขึ้น โดยเฉพาะส่วนประกอบเครื่องปรับอากาศ, อาหารปรุงแต่ง, เครื่องดื่ม, ถุงมือยาง, ผลไม้ปรุงแต่ง, เลนส์แว่นตา และชุดสายไฟ เป็นต้น

อุปทูตสหรัฐฯ กล่าวว่า ปัจจุบันสหรัฐฯ เป็นคู่ค้าอันดับที่ 3 ของไทย รองจากจีน และญี่ปุ่น ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2010 การค้าระหว่างไทย-สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีมูลค่าการค้าเฉลี่ย 35,560.43 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และยังเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับ 2 ของไทย รองจากจีน ซึ่งในปัจจุบันสหรัฐฯ มีบริษัทที่ทำการค้าในไทยประมาณ 500 บริษัท และยังอยากที่จะคงความสัมพันธ์ทางการค้าแบบนี้ต่อไป โดยตั้งเป้าหมายอยากที่จะขึ้นเป็นคู่ค้าอันดับ 1 พร้อมทั้งจะขอให้ไทยเปิดตลาดเนื้อวัว เนื้อหมูติดกระดูก และผลิตภัณฑ์ ซึ่งขณะนี้ฝ่ายไทยโดย อย.และกรมปศุสัตว์อยู่ระหว่างการปรับปรุงกฎระเบียบให้สอดคล้องกับข้อกำหนดของ OIE อยู่ เนื่องจากประเทศไทยเองก็ต้องคุ้มครองความปลอดภัยของผู้บริโภค

ซึ่ง รมว.พาณิชย์ได้เชิญชวนนักธุรกิจสหรัฐฯ เข้ามาลงทุนเพิ่มเติมในเขตเศรษฐกิจพิเศษของรัฐบาล เพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าให้ก้าวขึ้นเป็นคู่ค้าอันดับ 1 กับไทยตามที่สหรัฐฯตั้งเป้าไว้ ทั้งสองฝ่ายยินดีที่จะหารือในรายละเอียดเรื่องต่างๆ เพื่อผลักดันการค้าการลงทุนระหว่างกัน โดยในปี 2014 ไทยส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ เป็นมูลค่า 23,891.61 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.09 และสหรัฐฯเป็นแหล่งนำเข้าอันดับ 3 ของไทย รองจากจีน และญี่ปุ่น โดยไทยนำเข้าจากสหรัฐ คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 14,579.60 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 0.34 ในแง่การลงทุนสหรัฐฯถือเป็นนักลงทุนต่างชาติลำดับที่ 4 ที่เข้ามาลงทุนในไทยรองจาก ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และไต้หวัน มีโครงการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่ได้รับ BOI ในปี 2014 จำนวน 38 โครงการ ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้นเป็น 50,158 ล้านบาท

ด้านการเมือง ขณะนี้รัฐบาลไทยอยู่ระหว่างการดำเนินงานตาม Roadmap ในระยะที่ 2 ที่มุ่งเน้นการตรวจสอบ ปฎิรูป และเร่งฟิ้นฟูประชาธิปไตยที่แท้จริงและเหมาะสมกับประเทศไทย ส่วนเรื่องการแก้ปัญหา TEER 3 และ IUU ยืนยันว่ารัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ การใช้แรงงานเด็ก และแรงงานที่ถูกบังคับ โดยกำหนดเรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติ และจะมุ่งมั่นเดินหน้าขจัดปัญหาให้หมด ซึ่งอุปทูตสหรัฐได้แสดงความชื่นชม

ส่วนการประชุมภายใต้กรอบความตกลงการค้าการลงทุนไทย-สหรัฐ หรือที่เรียกว่า TIFA-JC เป็นเวทีสำคัญของทั้งสองฝ่ายเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการค้า การลงทุนให้เพิ่มขึ้น และหวังว่าจะมีการจัดประชุม TIFA -JC อย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี นอกจากนี้อุปทูตสหรัฐฯ ยังได้เสนอข้อเสนอในการจัดทำแผนปฏิบัติการ และ Training Program ด้านทรัพย์สินทางปัญญากับไทย ซึ่งจะได้หารือกันในระดับเจ้าหน้าที่ต่อไป


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ