ขณะที่ 6 เดือนแรกปี 58 ส่งออกติดลบ 4.84% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน มูลค่า 106,856 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขณะที่นำเข้า ติดลบ 7.91% มูลค่า 103,383 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ดุลการค้า 6 เดือนแรก เกินดุล 3,473 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
นายสมเกียรติ ตรีรัตนพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ปัจจัยที่มีผลกระทบให้การส่งออกของไทยหดตัวมาต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 58 มาจากปัจจัยภายนอกเป็นสำคัญ ซึ่งได้แก่ 1.ภาพรวมเศรษฐกิจโลกและตลาดคู่ค้าหลักในปัจจุบันที่ชะลอตัว โดยเฉพาะสหรัฐ, สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และจีน จึงทำให้การนำข้าวของเกือบทุกประเทศทั่วโลกยังคงหดตัว
2.ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังคงชะลอตัว โดยในเดือนมิ.ย.58 ลดลงถึง 42.8% ส่งผลกระทบต่อมูลค่าส่งออกสินค้าที่ต่อเนื่องกับน้ำมัน เช่น น้ำมันสำเร็จรูป เคมีภัณฑ์ และเม็ดพลาสติก 3.ราคาสินค้าเกษตรโลกปรับตัวลดลงมาก ทำให้มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรลดลง โดยเฉพาะยางพารา และน้ำตาลทราย
4.การแข็งค่าของเงินบาทและการลดลงของค่าเงินในประเทศผู้ผลิตสำคัญ ส่งผลต่อราคาส่งออกสินค้าไทยและราคาสินค้าสำคัญในตลาดโลก โดยค่าเงินบาทนับแต่ต้นปี 58 มีทิศทางแข็งค่าเมื่อเทียบกับคู่ค้าคู่แข่ง เนื่องจากหลายประเทศใช้นโยบายการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ปัจจุบันเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลง ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยสนับสนุนการส่งออกของไทยในช่วงครึ่งปีหลังได้ โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเกษตรพื้นฐานที่จะมีความสามารถในการแข่งขันด้านราคามากขึ้น
และ 5.การหดตัวของการส่งออกสินค้ากลุ่มรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ซึ่งเป็นเพียงปัจจัยชั่วคราวเท่านั้น เนื่องจากอยู่ในช่วงการเปลี่ยนรุ่นรถกระบะ ขณะที่การส่งออกรถยนต์นั่งและส่วนประกอบรถยนต์ยังคงขยายตัว โดยคาดว่าการส่งออกสินค้ากลุ่มรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบจะกลับมาขยายตัวได้ดีในช่วงไตรมาส 3-4 นี้
นายสมเกียรติ ยังประเมินด้วยว่า สถานการณ์การส่งออกในช่วงครึ่งปีหลังนี้ที่ปริมาณคำสั่งซื้อจะเข้ามามากขึ้น ประกอบกับการกลับเข้าสู่ภาวะปกติของการส่งออกยานยนต์ที่มีสัดส่วนในมูลค่าการส่งออกสูงถึง 11% และแนวโน้มเงินบาทที่อ่อนค่า จะช่วยให้มูลค่าการส่งออกของไทยกลับมาฟื้นตัวเป็นบวกได้ในช่วงไตรมาส 4/58 เป็นต้นไป
“การส่งออกของไทยในเดือนมิ.ย.นี้ยังคงลดลง เนื่องจากการส่งออกยานยนต์และส่วนประกอบหดตัวสูงจากการเปลี่ยนรุ่นรถกระบะ ซึ่งเป็นเพียงปัจจัยชั่วคราวเท่านั้น เชื่อว่าสถานการณ์ยานยนต์จะเริ่มฟื้นตัวในเดือนส.ค. ซึ่งจะเป็นตัวดึงสำคัญที่ทำให้ทุกอย่างดีขึ้น และจะทำให้ตัวเลขรวมของการส่งออกน่าจะเป็นบวกได้ในไตรมาส 4 ของปีนี้” นายสมเกียรติ กล่าว
พร้อมระบุว่า ในขณะนี้สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า ยังคงเป้าหมายการส่งออกของไทยในปีนี้ไว้ที่การเติบโต 1.2% ซึ่งการจะปรับเป้าหมายการส่งออกนั้นต้องขึ้นอยู่กับระดับนโยบายเป็นสำคัญ
ภาพรวมในเดือน มิ.ย.มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมเกษตรยังหดตัว -4.1% (YoY) ตามทิศทางของราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกที่ยังคงชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าสินค้าเกษตรส่งออกสำคัญจะมีปริมาณส่งออกสูงขึ้นก็ตาม โดยเฉพาะยางพาราซึ่งเป็นสินค้าเกษตรส่งออกอันดับหนึ่งของไทย เดือนนี้มูลค่าส่งออกกลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 18 เดือน ขยายตัว 4.4% (YoY) แต่ราคายางพารายังคงอยู่ในระดับต่ำ เช่นเดียวกับ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ไก่สดแช่แข็งและแปรรูป และผลไม้กระป๋องและแปรรูป มูลค่าการส่งออกยังขยายตัวสูงขึ้น 24.6%, 20.1% และ 6.3% (YoY) ตามลำดับในขณะที่ ข้าว น้ำตาลทราย และอาหารทะเลแช่งแข็งและแปรรูป มูลค่าการส่งออกยังคงหดตัวลง
ด้านมูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมยังคงหดตัวลง -7.7% (YoY) ผลจากสินค้าส่งออกอันดับหนึ่งของไทยคือรถยนต์และส่วนประกอบ หดตัวสูงถึง -19.1% (YoY) ซึ่งผลมาจากการหดตัวของการส่งออกรถกระบะที่หดตัวสูงถึง -48.3% (YoY) จากการเปลี่ยนรุ่น ซึ่งคาดว่าจะเป็นปัจจัยชั่วคราวเท่านั้น ขณะที่การส่งออกรถยนต์นั่ง และส่วนประกอบยานยนต์ยังขยายตัว
สำหรับมูลค่าส่งออกสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันดิบหรืออุตสาหกรรมที่มีโครงสร้างการใช้วัตถุดิบซึ่งมาจากการกลั่นปิโตรเลียม ได้แก่ น้ำมันสำเร็จรูป เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก ยังคงลดลงจากปีก่อนหน้ามากตามภาวะราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ยังไม่ฟื้นตัว แต่ปริมาณการส่งออกน้ำมันยังคงขยายตัวสูงถึง 28.5% (YoY) ส่วนการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมสำคัญอย่างทองคำกลับมาหดตัวสูงถึง -49.7% (YoY) เนื่องจากราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวลง
ทั้งนี้ หากไม่รวมสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันและทองคำ มูลค่าการส่งออกรวมของไทยในเดือน มิ.ย.58 จะหดตัว -5.8% (YoY) ในขณะที่สินค้ากลุ่มอุตสาหกรรมหักสินค้าเกี่ยวข้องกับน้ำมันและทองคำจะหดตัวที่ -5.6% (YoY)
อย่างไรก็ตาม ไทยยังคงรักษาส่วนแบ่งตลาด (Market Share) ในประเทศคู่ค้าสำคัญไว้ได้ เช่น สหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น อินเดีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และไต้หวัน เป็นต้น และส่วนแบ่งตลาดในปี 58 ของไทยในประเทศคู่ค้าสำคัญมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นกว่าปี 57
ขณะที่การค้าของไทยกับประเทศเพื่อนบ้านผ่านช่องทางการค้าชายแดน ผ่านแดน และเมืองหน้าด่านขยายตัวต่อเนื่องมีสัดส่วนคิดเป็น 9.0%ของมูลค่าการค้ารวมของไทย โดยมูลค่าการค้าชายแดน(มาเลเซีย เมียนมาร์ สปป.ลาว กัมพูชา)ในระยะ 6 เดือน (ม.ค.-มิ.ย. 58) มีมูลค่า 489,046 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.3% (AoA) ทำให้ภาพรวมไทยได้ดุลการค้าชายแดนรวม 4 ประเทศ เป็นมูลค่า 91,599 ล้านบาท
การค้าผ่านแดน (สิงคโปร์ จีนตอนใต้ เวียดนาม) ในระยะ 6 เดือน มีมูลค่า 66,703 ล้านบาท ลดลง -9.4% (AoA) ทำให้ภาพรวมไทยได้ดุลการค้าผ่านแดนรวม 3 ประเทศ เป็นมูลค่า 1,120 ล้านบาท ขณะที่การค้าเมืองหน้าด่าน มีมูลค่า 129,108 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.0% (AoA) ซึ่งเมื่อรวมการค้าชายแดน การค้าผ่านแดน และการค้าเมืองหน้าด่าน มีมูลค่าการค้ารวมทั้งสิ้น 684,856 ล้านบาท ขยายตัว 3.3% (AoA)