รมว.คลัง เล็งปรับระบบบัญชีดึง SMEs เข้าฐานภาษี-ดันตั้งกองทุนอินฟราฯ หนุนศก.

ข่าวเศรษฐกิจ Monday September 28, 2015 13:44 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง กล่าวในงานเสวนา"ตลาดการเงินไทย เดินหน้าเศรษฐกิจไทย"ว่า รัฐบาลได้ดำเนินนโยบายด้านการคลังเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เนื่องจากปัจจัยเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกมีความเป็นไปได้ที่จะทำให้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ(GDP)เกิดปัญหา ดังนั้น รัฐบาลจึงมีนโยบายผลักดันการส่งออก ควบคู่ไปกับการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างมากจากภาวะเศรษฐกิจ เช่น กลุ่มผู้มีรายได้น้อย ที่ได้อนุมัติเงินลงไปจำนวน 1.3 แสนล้านบาท และผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SME) อีกราว 2 แสนล้านบาท เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนในระบบมากขึ้น

วัตถุประสงค์ของการดำเนินนโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุนของภาคเอกชนและต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยที่จะช่วยผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลได้ส่งเสริมการลงทุน โดยเข้าไปดูแลเรื่องสิทธิประโยชน์ การเงิน และความสะดวกทางธุรกิจ หากมีความติดขัดในด้านกระบวนการทำงาน หรือกฎหมายที่มีความซับซ้อน ก็จะมีการแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพื่อให้เอื้อต่อการลงทุนมากขึ้น คาดว่าในปีหน้าเศรษฐกิจน่าจะดีขึ้นจากการกระตุ้นแบบบรูณาการและเพื่อให้เกิดความยั่งยืนในอนาคต ซึ่งในปีนี้ ธปท.คาดการณ์ว่า GDP ของไทยจะขยายตัวราว 2.7%

ส่วนสิ่งที่เป็นปัญหาของผู้ประกอบการรายเล็ก คือ ระบบบัญชี โดยรัฐอยู่ระหว่างการดำเนินงาน เพื่อทำให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีใช้บัญชีเดียว ซึ่งจะเป็นพื้นฐานของประเทศ และสนับสนุนระบบชำระเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้มีการหักภาษีเข้ากรมสรรพากร ซึ่งจะเป็นการปิดช่องโหว หรือการรั่วไหลที่น้อยลง และจะทำให้เงินจากการชำระภาษีของประชาชนเข้าสู่ระบบมากขึ้น คาดว่าจะเริ่มนำมาใช้อย่างเร็วที่สุด

“เราไม่ได้ต้องการจะเพิ่มภาษี แต่เราต้องการเพิ่มฐานภาษี เพื่อดึงผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้ามาในระบบมากขึ้น และส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีใช้บัญชีเดียว เพื่อง่ายต่อการตรวจสอบมากยิ่งขึ้น และยังสนับสนุนระบบชำระเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้มีการหักภาษี ณ ที่จ่ายทันที เข้ากรมสรรพากร เมื่อมีการใช้จ่าย"นายอภิศักดิ์ กล่าว

นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐเป็นสิ่งที่จะต้องลงทุนต่อเนื่อง เพื่อช่วยให้ประเทศเติบโตได้อย่างยั่งยืนในอนาคต พร้อมกันนั้นจะมีการใช้ยุทธศาสตร์ให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ(PPP) โดยใช้เงินลงทุนของภาคเอกชนในสัดส่วนที่มากขึ้น และรัฐจะให้เป็นผลตอบแทน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการลงทุนภายในประเทศมากขึ้น อีกทั้งจะมีการจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อระดมทุนมาใช้ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำรายละเอียดต่างๆ

สำหรับตลาดทุนไทยมองว่าเริ่มแข็งแรง โดยมีการเติบโตเป็นอันดับ 1 ของอาเซียน แม้มาร์เก็ตแคปยังเป็นอันดับ 3 จึงอยากให้ตลาดทุนไทยยกระดับอีกขั้นไปสู่ระดับสากลที่มีการซื้อขายในสกุลเงินต่างประเทศได้ ซึ่งก็อยู่ที่ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ จะต้องประสานงานกับธนาคารแห่งประทศไทย( ธปท.เพราะหากสามารถดำเนินการได้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจะเกิดความเปลี่ยนแปลง และมีโอกาสกลายเป็นศูนย์กลางของตลาดทุนในภูมิภาคได้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ