เงินบาทปิด 35.56/58 ยังแกว่งแคบ รอผลประชุมกนง.พรุ่งนี้ คาดคงดอกเบี้ย

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday November 3, 2015 17:30 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นักบริหารเงิน เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ระดับ 35.56/58 บาท/ดอลลาร์ ใกล้เคียงกับช่วงเช้าที่เปิดตลาดที่ระดับ 35.53/55 บาท/ดอลลาร์

วันนี้เงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ เนื่องจากวันนี้ยังไม่มีปัจจัยสำคัญเป็นพิเศษที่จะมีผลต่อตลาด ขณะที่พรุ่งนี้ตลาดจับตาดูผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ซึ่งตลาดคาดว่า กนง.จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้เท่าเดิมที่ระดับ 1.50% ส่วนปัจจัยต่างประเทศนั้น ต้องรอดูตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ที่จะประกาศในวันศุกร์นี้

"วันนี้บาทแกว่งในกรอบแคบๆ เพราะไม่มีปัจจัยอะไรเด่น คงต้องรอดูพรุ่งนี้ที่จะมีประชุม กนง. แต่ตลาดก็คาดว่ารอบนี้จะคงดอกเบี้ย ดังนั้นจึงไม่น่ามีผลอะไรมาก อาจต้องไปรอดูตัวเลข Non farm Payroll ของสหรัฐฯ ศุกร์นี้อีกที" นักบริหารเงิน กล่าว

นักบริหารเงิน คาดว่า วันพรุ่งนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 35.50 - 35.65 บาท/ดอลลาร์

  • ปัจจัยสำคัญ
  • ช่วงเย็นนี้ เงินเยนอยู่ที่ระดับ 120.75/78 เยน/ดอลลาร์ จากช่วงเช้าที่ระดับ 120.72/73 เยน/ดอลลาร์
  • ส่วนเงินยูโร อยู่ที่ระดับ 1.0980/0982 ดอลลาร์/ยูโร จากช่วงเช้าที่ระดับ 1.1011/1015 ดอลลาร์/ยูโร
  • ดัชนี SET ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,412.62 ลดลง 0.72 จุด (-0.05%) โดยมีมูลค่าการซื้อขาย 35,785 ล้านบาท
  • สรุปปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม ต่างชาติขายสุทธิ 370.56 ลบ.(SET+MAI)
  • นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) มีมติอนุมัติต่ออายุสิทธิประโยชน์ทางภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว(LTF) ไปอีก 3 ปี จนถึงสิ้นปี 62 จากเดิมที่จะสิ้นสุดในปี 59
  • กระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(BOI) จะออกแพ็คเกจมาตรการกระตุ้นลงทุนเอกชนในปีนี้และปีหน้า ด้วยการเพิ่มสิทธิประโยชน์และการลดหย่อนภาษี ซึ่งเป็นการช่วยกระตุ้นการลงทุนในประเทศ และการส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันระยะยาวของประเทศด้วย
  • นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) อนุมัติการปฏิรูปขั้นตอนและระยะเวลาการเข้าร่วมโครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน(PPP) ในโครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานเพื่อผลักดันให้ดำเนินการได้รวดเร็วขึ้น จากเดิมที่กว่าจะผ่านขั้นตอนและเริ่มลงทุนได้ต้องใช้เวลาถึง 2 ปี โดยจะลดขั้นตอนลงเหลือ 9 เดือน

ทั้งนี้ เบื้องต้นมีโครงการ 6 โครงการที่จะเข้าขั้นตอน Fast track ใน 9 เดือน มูลค่าลงทุนรวมราว 3.47 แสนล้านบาท

  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่าในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 58 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทยจำนวนประมาณ 7.68-8.00 ล้านคน เติบโต 2.6-6.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 57 (ที่ขยายตัว 7.3%) ส่งผลให้ทั้งปี 58 มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติรวมทั้งสิ้น 30.19 ล้านคนขยายตัว 21.7% จากปีที่แล้ว
  • กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ หารือผู้บริหารจากกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย ได้แก่ บริษัท HGST (Thailand), บริษัท Western Digital และบริษัท Seagate (Technology) Thailand) เกี่ยวกับแนวทางการให้สิทธิประโยชน์แก่กลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าว เพื่อดึงดูดให้มีการลงทุนเพิ่มขึ้นในประเทศไทยและใช้ไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อการส่งออก
  • น.ส.ผ่องพรรณ เจียรวิริยะพันธ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า ขณะนี้ กรมฯอยู่ระหว่างเตรียมการเพื่อบังคับใช้ร่าง พ.ร.บ.หลักประกันทางธุรกิจ ที่ได้ผ่านความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) แล้ว และอยู่ระหว่างการรอให้มีผลบังคับใช้ภายใน 240 วันหลังจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ประมาณเดือน ก.ค.59
  • ธนาคารกลางออสเตรเลียมีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2% ในการประชุมวันนี้ ซึ่งเป็นการตรึงอัตราดอกเบี้ยติดต่อกันเป็นเวลา 6 เดือน
  • สมาคมแลกเปลี่ยนทองคำและเงินของจีน เปิดเผยว่า ราคาทองคำที่ตลาดฮ่องกงปรับตัว 20 ดอลลาร์ฮ่องกง ปิดที่ระดับ 10,520 ดอลลาร์ฮ่องกง/ตำลึงในวันนี้ โดยราคาดังกล่าวเทียบเท่ากับ 1,135.05 ดอลลาร์สหรัฐ/ทรอยออนซ์ ลดลง 2.16 ดอลลาร์สหรัฐ ที่อัตราแลกเปลี่ยนล่าสุด 1 ดอลลาร์สหรัฐ/ 7.75 ดอลลาร์ฮ่องกง

-นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน เปิดเผยว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนไม่ควรจะต่ำกว่า 6.5% ในช่วง 5 ปีข้างหน้า เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายในการเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) และรายได้ต่อหัวของประชากรให้เป็น 2 เท่าของปี 2553 ภายในปี 2563

  • ธนาคารกลางจีนเปิดเผยเอกสารที่ระบุว่า ธนาคารกลางต่างชาติและสถาบันการเงินต่างชาติได้รับอนุญาตให้เปิดบัญชีเงินฝากสกุลเงินหยวนในจีนได้ สำหรับการสว็อปสกุลเงินกับธนาคารกลางจีน, การลงทุนในตลาดพันธบัตรอินเตอร์แบงก์จีน รวมถึงการบริหารจัดการเงินทุนรายวันด้วย
  • สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศ สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (S&P) เปิดเผยว่า มีธนาคารรายใหญ่ 8 แห่งของสหรัฐฯ ที่อาจจะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือโดย S&P ซึ่งได้แก่ เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค, แบงก์ ออฟ อเมริกา คอร์ป, ซิตี้กรุ๊ป อิงค์, โกลด์แมน แซคส์, เวลส์ ฟาร์โก แอนด์ โค, มอร์แกน สแตนลีย์, แบงก์ ออฟ นิวยอร์ก เมลลอน คอร์ป และสเตท สตรีท คอร์ป โดยปัจจัยที่ทำให้ธนาคารทั้ง 8 แห่งมีความเสี่ยงที่จะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือนั้น มาจากมุมมองที่ว่า มีโอกาสน้อยลงที่รัฐบาลสหรัฐฯ จะให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมแก่ภาคธนาคารในยามวิกฤติ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ