ขณะที่สถานการณ์ด้านไฟฟ้า แนวโน้มการใช้ไฟฟ้าคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3.5% ตามภาวะเศรษฐกิจที่จะปรับตัวดีขึ้น ทั้งนี้ ประมาณการความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (Peak) ปี 59 จะอยู่ไม่เกิน 29,000 เมกะวัตต์ และมีระดับเฝ้าระวังอยู่ที่ 28,500 เมกะวัตต์
"จากสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่อง บวกกับภาคเศรษฐกิจในประเทศอยู่ในภาวะที่กำลังขยายตัว ทำให้ความต้องการใช้พลังงานของประเทศมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง" รมว.พลังงาน กล่าวอย่างไรก็ตาม เพื่อให้สอดรับกับการขับเคลื่อนแผนอนุรักษ์พลังงาน (EEP) กระทรวงพลังงานจึงขอความร่วมมือไปยังประชาชนให้ใช้พลังงานอย่างประหยัด อาทิ ลดการใช้ไฟฟ้า ด้วยการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ได้มาตรฐาน หรือมีเครื่องหมาย เบอร์ 5 ปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศในระดับ 25-26 องศา เพื่อรองรับการเกิด Peak ไฟฟ้าในช่วงหน้าร้อน รวมถึงการลดใช้น้ำมัน ด้วยการบำรุงรักษารถยนต์อย่างสม่ำเสมอและขับรถให้ถูกวิธีก่อนเทศกาลวันหยุดยาวครั้งต่อไปในช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค.
ด้านสถานการณ์พลังงาน ปี 58 ที่ผ่านมา รมว.พลังงาน กล่าวว่า เนื่องจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปลายปี 2557 จนถึงปลายปี 2558 โดยราคาน้ำมันดิบดูไบลดลงจาก 108 ดอลลาร์/บาเรลล์ ลงมาอยู่ที่ระดับ 35.1 ดอลลลาร์/บาเรลล์ ส่งผลให้ภาพรวมปริมาณการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศปี 2558 ปรับตัวสูงขึ้น โดยการใช้น้ำมันสำเร็จรูปรวมทั้งหมดทุกผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นประมาณ 4.2% จากเดิมปี 2557 มีปริมาณการใช้ 126.5 ล้านลิตร/วัน เพิ่มเป็น 131.6 ล้านลิตร/วัน ซึ่งเป็นการใช้เพิ่มขึ้นทั้งในกลุ่มน้ำมันเบนซินและดีเซล โดยน้ำมันเบนซินเฉลี่ยใช้อยู่ที่ 26.4 ล้านลิตร/วัน เพิ่มขึ้น 13.2% ส่วนน้ำมันดีเซลเพิ่มขึ้น 3.7% หรือมียอดการใช้เฉลี่ยอยู่ที่ 59.9 ล้านลิตร/วัน
ขณะที่ปริมาณการใช้ LPG ได้ปรับตัวลดลงจากเดิมในปี 2557 ที่มียอดการใช้เฉลี่ยอยู่ที่ 24.6 ล้านลิตร/วัน แต่ในปี 2558 มียอดการใช้เฉลี่ย 23.2 ล้านลิตร/วัน ลดลง 5.4% สำหรับสาเหตุที่การใช้ LPG ปรับตัวลดลงส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากกระทรวงพลังงานได้ดำเนินมาตรการปรับโครงสร้างราคา LPG ให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ภาพรวมการใช้ LPG ในประเทศปรับสู่สมดุลมากขึ้นและลดการใช้ผิดประเภทได้อย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ดี ภาพรวมการใช้พลังงานในปี 2558 ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้านั้น ถือว่าเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ของประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น จากมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจ การบริการ และการใช้จ่าย ของภาครัฐ