1.เร่งรัดให้หน่วยงานในสังกัด สำรวจและดำเนินการจัดซื้อเครื่องมือแพทย์ที่มียางพาราเป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิต โดยในปี 2557 และ 2558 กระทรวงสาธารณสุขใช้ผลิตภัณฑ์จากยางพารา ได้แก่ ถุงมือผ่าตัด ประมาณ 52 ล้านคู่ต่อปี ถุงมือตรวจโรค 88 ล้านคู่ต่อปี สายสวนปัสสาวะ 2 ล้านกว่าเส้นต่อปี และยังมีถุงยางอนามัย รวมมูลค่าปีละ 937 ล้านกว่าบาท ส่วนของปี 2559 วงเงินการจัดซื้อ 1,000 ล้านบาท นอกจากนี้จะได้จัดซื้อเพิ่มเติมในผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่มียางพาราเป็นส่วนประกอบอาทิที่นอนผู้ป่วย รองเท้าเพื่อสุขภาพ รองเท้าทางการแพทย์ เป็นต้น
2.ให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ที่ดูแลด้านมาตรฐานเครื่องมือแพทย์ ขอความร่วมมือผู้ประกอบการที่ผลิตเครื่องมือแพทย์ เช่น ถุงมือยาง ถุงยางอนามัย สายสวนปัสสาวะ สายให้อาหาร สายน้ำเกลือ ถุงมือที่ใช้ทางการแพทย์ ใช้น้ำยางพาราเป็นวัตถุดิบในการผลิตให้มากขึ้น โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ได้ปรับลดขั้นตอนการออกใบอนุญาตให้เร็วขึ้น เน้นแนวทางการควบคุมเป็นไปตามหลักสากลสอดคล้องกับอาเซียนที่มีการควบคุมเฉพาะคุณภาพมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ดำเนินการผลิตเพื่อการส่งออกได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
3.ประชาสัมพันธ์ให้ผู้ใช้ถุงมือทางการแพทย์ ทั้งโรงพยาบาลภาครัฐ เอกชน คลินิก เลือกซื้อและใช้ถุงมือทางการแพทย์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย ตรงตามวัตถุประสงค์การใช้งาน รวมทั้งรณรงค์ให้ประชาชนใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากน้ำยางให้มากขึ้น เช่น ใช้ถุงมือยางที่ผลิตจากน้ำยางธรรมชาติในผู้ประกอบการด้านอาหาร เพื่อลดการสัมผัสอาหารด้วยมือเปล่า เพิ่มความปลอดภัยจากโรคระบบทางเดินอาหาร
ทั้งนี้ จะเสนอรัฐบาลสนับสนุนด้านการลงทุน หรือมาตรการทางด้านภาษีให้แก่ผู้ประกอบการผลิตถุงมือทางการแพทย์ในประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่มีขนาดเล็กและมีเงินทุนน้อย เพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิตลดต้นทุน เพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันในตลาดโลก โดยข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ประเทศไทยมีผู้ผลิตถุงมือทางการแพทย์ 22 ราย ในปี 2557 มีมูลค่าการส่งออกของถุงมือยางสำหรับสำหรับตรวจโรค ถุงมือยางสำหรับอุตสาหกรรม ถุงมือยางใช้ในครัวเรือน จำนวน 28,217.50 ล้านบาท ส่วนถุงมือยางสำหรับศัลยกรรมมูลค่าการส่งออก 7,795.86 ล้านบาท สำหรับถุงยางอนามัยมีผู้ผลิต 9 ราย มูลค่าการส่งออก ปี 2557 จำนวน 4,622.38 ล้านบาท