ปัจจุบันประเทศไทยมีการผลิตยางพาราธรรมชาติเฉลี่ยปีละประมาณ 4 ล้านตัน/ปี โดยในปี 2557 มีการส่งออกเป็นยางพาราธรรมชาติประมาณ 86% ของผลผลิตทั้งหมด มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 6,022 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขณะที่ยางพาราอีก 14% ของผลผลิตทั้งหมด มีการแปรรูปและส่งออกเป็นผลิตภัณฑ์ยาง แต่กลับมีมูลค่าการส่งออกรวมทั้งสิ้นสูงถึงกว่า 8,006 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ดังนั้นโครงการจับคู่ธุรกิจผลิตภัณฑ์ยางนี้จึงเป็นการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์ยางมากขึ้น นอกจากจะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและเพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราในประเทศแล้ว ยังจะสามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศได้สูงขึ้นอย่างยั่งยืน
นอกจากนี้จากที่รัฐบาลได้มีนโยบายการแก้ไขปัญหายางพาราทั้งระบบ ซึ่งกำหนดให้มีการโค่นต้นยางปีละ 400,000 ไร่ เป็นระยะเวลา 7 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2558 เพื่อควบคุมปริมาณการผลิต ต้นยางที่ถูกโค่นเป็นจำนวนมากดังกล่าวนั้น สามารถนำมาแปรรูปเป็นไม้ยางพาราแปรรูปอบแห้งได้ถึงประมาณ 3.4 ล้านลูกบาศก์เมตร/ปี และจะมีของเสียที่เกิดจากกระบวนการแปรรูปอีกปีละประมาณ 11.6 ล้านตัน ซึ่งจะสามารถนำไปใช้ผลิตชีวมวลอัดแท่ง หรือ Wood Pellet ได้ถึงปีละ 3 ล้านตัน สินค้าเหล่านี้จึงเป็นอีกกลุ่มสินค้าที่กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศจะให้การสนับสนุนควบคู่ไปด้วย เพื่อกระตุ้นให้เกิดมูลค่าการส่งออกด้วยอีกทางหนึ่ง
กลุ่มเป้าหมายของโครงการนี้ ประกอบด้วย ผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์ยางที่ใช้ยางพาราธรรมชาติเป็นวัตถุดิบเท่านั้น ไม่รวมกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากยางสังเคราะห์ ได้แก่ สินค้าประเภทยางยานพาหนะ ยางตัน ถุงมือแพทย์ ถุงมือยาง ยางคอมพาวด์ หมอนและที่นอนยางพารา หลอดและท่อยาง ยางวัลคัลไนซ์ เส้นด้ายยางยืด ยางรัดของ สายพานลำเลียง ชิ้นส่วนยานยนต์ที่ทำจากยาง ไม้ยางพารา ชีวมวลอัดแท่ง และผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากไม้ยาง เช่น ของเล่นเด็ก และผลิตภัณฑ์ยางอื่นๆ