ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 35.28/35 จับตารายงาน FOMC คาดกรอบปลายสัปดาห์ 35.20-35.50

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday April 5, 2016 17:32 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นักบริหารเงิน เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ระดับ 35.28/35 บาท/ดอลลาร์ จากช่วงเช้าที่เปิดตลาดที่ ระดับ 35.27/28 บาท/ดอลลาร์

เงินบาทอ่อนค่าลงเล็กน้อยจากช่วงเช้า แต่ก็ยังแกว่งอยู่ในกรอบ 35.20 - 35.30 ปลายๆ ซึ่งช่วงปลายสัปดาห์คงต้อง ติดตามรายงานการประชุมของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ ว่าจะออกมาเป็นอย่างไร

นักบริหารเงิน คาดว่า ช่วงปลายสัปดาห์เงินบาทจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 35.20-35.50 บาท/ดอลลาร์

"บาทก็ยังมีโอกาสจะอ่อนค่าได้ ช่วงปลายสัปดาห์นี้คงต้องติดตามรายงานการประชุม FOMC ว่าจะออกมาอย่างไร" นัก

บริหารเงิน ระบุ

  • ปัจจัยสำคัญ
  • ช่วงเย็นนี้ เงินเยนอยู่ที่ระดับ 110.38/40 เยน/ดอลลาร์ จากช่วงเช้าที่ระดับ 110.78/83 เยน/ดอลลาร์
  • ส่วนเงินยูโร เย็นนี้อยู่ที่ระดับ 1.1357/1362 ดอลลาร์/ยูโร จากช่วงเช้าที่ระดับ 1.1396/1.1400 ดอลลาร์/ยูโร
  • ดัชนี SET ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,373.59 ลดลง 26.68 จุด (-1.91%) โดยมีมูลค่าการซื้อขาย 45,610 ล้านบาท
  • สรุปปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม ต่างชาติขายสุทธิ 1,777.75 ลบ.(SET+MAI)
  • พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เปิดเผยว่า การจะใช้
มาตรา 44 ในกรณีที่ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) จะรับช่วงคลื่นจากบริษัท แจส โมบาย บรอดแบนด์ จำกัด ซึ่ง
เป็นผู้ชนะประมูลคลื่น 900 MHz ในครั้งก่อน ที่ราคา 75,654 ล้านบาท ในเรื่องนี้จะต้องให้ฝ่ายกฎหมายทั้งสำนักงานคณะกรรมการ
กฤษฎีกา และในส่วนของนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย ไปพิจารณาอย่างรอบคอบก่อน ซึ่งหากเป็นเรื่องที่มี
ความจำเป็น และไม่ก่อให้เกิดความเสียหายก็พร้อมที่จะดำเนินการ

นอกจากนี้ หลักเกณฑ์ในการพิจารณาต้องคำนึงถึงว่า หากมีการประมูลใหม่จะได้ราคาที่คุ้มหรือไม่ และหากสามารถ เจรจาได้ รัฐจะต้องไม่เสียประโยชน์ ระบบการสื่อสารต้องดีขึ้น และค่าบริการเครือข่ายมือถือไม่สูงขึ้น

  • นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง กล่าวถึงข่าวที่บริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) หลายแห่งออกมาคัดค้านกรณีที่
กระทรวงการคลังจะเข้าไปถือหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพราะเกรงว่าจะถูกเข้ามาแทรกแซง และทำให้การทำงานไม่
เป็นอิสระนั้นว่า เรื่องนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปและยังไม่มีข้อยุติ ซึ่งยังอยู่ในระหว่างการศึกษาเท่านั้น
  • นายจาตุรงค์ จันทรังษ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า การที่
ธนาคารพาณิชย์บางแห่งปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงถือเป็นสิ่งที่ดี และเป็นประโยชน์กับผู้กู้โดยเฉพาะ SMEs ช่วยลดภาระดอกเบี้ยให้
กับลูกหนี้ได้ ซึ่งเป็นผลจากสภาพคล่องส่วนเกินที่มีอยู่สูงในระบบการเงิน และสอดคล้องกับนโยบายการเงินปัจจุบันที่ยังคงผ่อนคลายอยู่
ในภาวะที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยง ซึ่งเชื่อว่าธนาคารพาณิชย์อื่นๆ จะทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงด้วยตาม
สภาพการแข่งขัน
  • ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือน มี.ค.59 อยู่
ที่ระดับ 73.5 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ 62.4 ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสการหางานทำอยู่ที่ 68.8
และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ 89.5 ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และ
ต่ำสุดในรอบ 5 เดือน เนื่องจากสถานการณ์ภัยแล้งเป็นหลัก
  • นางคริสติน ลาการ์ด ผู้อำนวยการ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เรียกร้องให้ประเทศเศรษฐกิจรายใหญ่
ใช้มาตรการเชิงรุกเพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก พร้อมกับเตือนว่าเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มอ่อนแรงลง อันเนื่องมาจาก
การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนและราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำ ทั้งนี้ IMF มองว่าการใช้อัตราดอกเบี้ยติดลบของธนาคารกลางญี่ปุ่น
(BOJ) และธนาคารกลางยุโรป (ECB)ทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ต้องจับตาดู แต่โดยส่วนใหญ่แล้วเป็นผลดีเมื่อพิจารณาจากสถานการณ์
ในปัจจุบัน
  • ผลสำรวจของมาร์กิตระบุว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการของยูโรโซนในเดือน มี.ค. ปรับตัวลดลง
แตะ 53.1 เมื่อเทียบกับรายงานเบื้องต้นที่ 54.0 และตัวเลขเดือนก.พ.ที่ 53.3 ซึ่งดัชนีที่สูงกว่า 50 บ่งชี้ถึงภาวะการขยายตัวของ
ภาคบริการ แต่หากตัวเลขต่ำกว่า 50 จะแสดงถึงภาวะหดตัว
  • ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ระบุว่า พร้อมที่จะดำเนินการอย่างรวดเร็วเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับ
มาตรการผ่อนคลายทางการเงิน หากพิจารณาแล้วเห็นว่าจำเป็น ไม่ว่าจะด้วยการเพิ่มปริมาณการซื้อทรัพย์สินของธนาคารกลาง หรือ
การปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ติดลบอยู่แล้วลงไปอีก หรือทั้ง 2 อย่าง
  • รายงานวิเคราะห์ภาวะตลาดเงินโลกของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ระบุว่า ตลาดหุ้นสหรัฐและตลาด

หุ้นอื่นๆ ของประเทศพัฒนาแล้ว อาจได้รับผลกระทบหนักจากตลาดหุ้นเกิดใหม่ เนื่องจากปัจจุบันตลาดทั้งสองฝั่งนี้มีการเชื่อมโยงกันมาก

ขึ้น ซึ่งอิทธิพลของตลาดหุ้นจีนที่มีต่อตลาดหุ้นเกิดใหม่นั้นจะเพิ่มขึ้นในอนาคตอันใกล้ โดยจีนคาดว่าจะมีอิทธิพลเป็นอย่างมากต่อตลาดของ

ประเทศอื่นๆ เมื่อพิจารณาจากการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจและการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ แม้แต่ตลาดหุ้นสหรัฐเองอาจจะได้รับผล

กระทบจากตลาดหุ้นจีนด้วย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ