นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม เปิดเผยถึงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 ว่า การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) อยู่ระหว่างทำการศึกษารายละเอียดและแนวทางในการลงทุน คาดว่าจะใช้ระยะเวลา 8 เดือน จากนั้นจะสรุปเสนอคณะกรรมการนโยบายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (PPP) ได้ปลายปีนี้เพื่อขออนุมัติโครงการและเปิดประกวดราคาได้ภายในปี 60
สำหรับโครงการนี้จะใช้มาตรา 44 คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 9/2559 เรื่อง การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ดังนั้น เมื่อประกวดราคาแล้วเสร็จกระบวนการลงนามในสัญญาจะต้องรอการจัดทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) ให้ได้รับการอนุมัติก่อน
นายอาคม กล่าวว่า ขณะนี้มีเอกชนจีนและไทยแสดงความสนใจที่จะเข้ามาลงทุน โดยเฉพาะเอกชนไทยสนใจลงทุน 100% ซึ่งรูปแบบลงทุนจะเปิด PPP เอกชนสามารถยื่นประมูลต่อไปตามขั้นตอน อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้เป็นช่วงที่ต้องเร่งรัดการลงทุนเพราะเศรษฐกิจยังไม่โตเต็มที่ ต้นทุนต่างๆ จะยังต่ำ และหากไปรอลงทุนช่วงที่เศรษฐกิจขึ้นไปแล้วจะไม่ทันเวลา ซึ่งการลงทุนพัฒนาท่าเรือนั้น เป็นเรื่องสำคัญเพราะขณะนี้ท่าเรือไม่ใช่แค่บริการส่งออกและนำเข้าเท่านั้น ดังนั้นจะต้องพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังให้เป็นท่าเรือถ่ายลำ หรือศูนย์กลางด้านการขนส่งทางน้ำในภูมิภาค ซึ่งไทยมีศักยภาพในลำดับต้นๆ
ท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 มูลค่าประมาณ 8.3 หมื่นล้านบาท ใช้เวลาก่อสร้าง 3-5 ปี เพิ่มขีดความสามารถรองรับได้อีก 8 ล้านทีอียู.ต่อปี จากปัจจุบันที่ เฟส 1 และ 2 มีขีดความสามารถที่ 11-12 ล้านทีอียู.ต่อปี ขณะที่มีปริมาณสินค้าแล้ว 7 ล้านทีอียู.ต่อปี มีอัตราการเติบโตประมาณ 4-5% ต่อปี ดังนั้นการพัฒนาเฟส 3 ต้องวางแผนล่วงหน้าเพื่อให้รองรับได้ทัน