นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง กล่าวว่า ขณะนี้ไม่มีแนวคิดที่จะต่ออายุมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ที่จะสิ้นสุดลงในวันที่ 30 เม.ย.นี้ เนื่องจากปัจจุบันทิศทางของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไม่น่าจะมีปัญหาเหมือนกับช่วงที่ผ่านมาแล้ว
ส่วนโครงการบ้านประชารัฐที่ธนาคารเฉพาะกิจภาครัฐเป็นผู้ปล่อยกู้นั้น ทางสถาบันการเงินสามารถขยายวงเงินสินเชื่อได้เอง แต่ก็ต้องบริหารความเสี่ยงให้ดีด้วย
"การเติมเงินเข้าระบบ ยังต้องไปดูในรายละเอียดว่าส่วนไหนมีความจำเป็น มีปัญหาต้องเติมเงิน ถ้าจำเป็นก็ทำได้ งบประมาณไม่ได้มีปัญหา ยังสามารถทำอะไรได้อีกหลายอย่าง" รมว.คลัง ระบุ
นอกจากนั้น นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า ยังมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะเติบโตได้มากกว่า 3%
"สศค.และกระทรวงการคลัง ยังมั่นใจว่า จีดีพีปีนี้จะโตได้มากกว่า 3% แม้ว่าปัจจัยเรื่องเศรษฐกิจโลกจะไม่ได้นิ่งเหมือนที่ผ่านมา แต่เราก็มีการติดตามอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ธนาคารพาณิชย์มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงมา ก็ต้องขอบคุณธนาคารพาณิชย์ที่เริ่มเห็นความสำคัญของส่วนรวมมากกว่าจะดูแต่ตัวเอง การลดดอกเบี้ยตรงนี้จะเป็นการช่วยส่งเสริมผู้ประกอบการ และเป็นการกระตุ้นการลงทุนในอนาคตได้อีกด้วย"
รมว.คลัง ระบุถึงการติดตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ได้ดำเนินการไปก่อนหน้านี้แล้วว่า ทุกอย่างเข้ารูปเข้าร่างเดินได้ตามเกณฑ์ โดยที่ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจวันนี้ได้ให้ความสำคัญกับมาตรการลงทุนของภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานซึ่งในปีนี้ยังยืนยันว่าจะเดินหน้าได้ตามแผนทั้งหมด 20 โครงการ โดยมี 8 โครงการเดินได้ตามแผน ส่วนอีก 12 โครงการ อาจมีล่าช้าจากแผนไปบ้าง 2-3 เดือน แต่ได้มีการแก้ปัญหาไปแล้ว ซึ่งเชื่อว่าจะไม่ล่าช้าไปกว่านี้แล้ว ทำให้คาดว่า การเบิกจ่ายเงินลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานปีนี้ จะอยู่ที่ 1.3 แสนล้านบาท เป็นโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ 5.6 หมื่นล้านบาท โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ 1.9-2 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีโครงการลงทุนด้านน้ำ วงเงินเต็ม 8 หมื่นล้านบาท ซึ่งตอนนี้เบิกจ่ายไปแล้ว 6 หมื่นล้านบาท โดยได้สั่งการหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านนี้ไปเร่งการเบิกจ่ายให้เร็วขึ้นเนื่องจากในภาพรวมยังล่าช้าเกินไป, โครงการลงทุนด้านถนน 5 หมื่นล้านบาทก็ต้องเร่งให้เดินหน้าตามแผน
ขณะที่มาตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้านอื่นๆ อาทิ มาตรการช่วยเหลือภาคเกษตร มาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย มาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอี หลายโครงการจบไปแล้ว และเป็นไปตามเป้าหมาย
ส่วนมาตรการใหม่ โครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐในการลงทุนในระดับชุมชนผ่านกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง 3.5 หมื่นล้านบาท เพื่อนำไปใช้ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานท้องถิ่น ตอนนี้ยังมีความล่าช้าอยู่ โดยได้ให้กองทุนหมู่บ้านไปปรับเปลี่ยนแผนการดำเนินงาน เพื่อให้การเบิกจ่ายทำได้รวดเร็ว
"ในส่วนของการส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน ใน 3 เดือนที่ผ่านมามีคำขอลงทุนเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่า มีการนำเข้าเครื่องจักรที่มากขึ้น สะท้อนว่าการลงทุนในภาคเอกชนเริ่มผงกหัวขึ้นแล้ว สอดคล้องกับความมั่นใจในด้านเศรษฐกิจที่เริ่มปรับตัวดีขึ้น ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่รัฐบาลได้มองไว้ ขณะที่ภาคการส่งออกทั้งปีภาพรวมแนวโน้มเริ่มดีขึ้น ทำให้มองว่าทั้งปี ตัวเลขส่งออกน่าจะโตเป็นบวกได้หน่อย จากเดิมที่เป็นห่วงว่าจะขยายตัวติดลบ แต่ภาพรวมในเดือนก.พ. มี.ค. สะท้อนว่ามีสัญญาณที่ดีขึ้น ส่วนที่หลายสำนักคาดการว่าส่งออกจะติดลบมาก ขึ้นกับกับโมเดลที่จะใช้พิจารณา ตรงนี้คงไปห้ามอะไรไม่ได้" รมว.คลัง กล่าว