(เพิ่มเติม) สภาพัฒน์ เผย GDP ไตรมาส 1/59 โต 3.2% ขยายตัวสูงสุดในรอบ 12 ไตรมาส

ข่าวเศรษฐกิจ Monday May 16, 2016 11:03 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายปรเมธี วิมลศิริ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแหล่งชาติ (สศช.) แถลงว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1/59 ขยายตัวที่ 3.2% เติบโตสูงสุดในรอบ 12 ไตรมาส โดยมาจากการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ รวมถึงการส่งออก ภาคบริการในด้านการท่องเที่ยวเป็นตัวช่วยสนับสนุน

"การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1 ถือว่าเติบโตสูงสุดในรอบ 12 ไตรมาส" นายปรเมธี กล่าว

ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกปี 59 เร่งขึ้นจากการขยายตัว 2.8% ในไตรมาส 4/58 และเป็นการขยายตัวในอัตราสูงสุดในรอบ 12 ไตรมาส เมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้วเศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกจะขยายตัวจากไตรมาสก่อนหน้า 0.9% (QoQ_SA) สูงขึ้นจากช่วงที่ผ่านมา โดยด้านการใช้จ่ายการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐและการส่งออกบริการท่องเที่ยวขยายตัวสูงเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญ รวมทั้งการขยายตัวต่อเนื่องของการใช้จ่ายภาคครัวเรือน ซึ่งส่วนหนึ่งได้รับแรงสนับสนุนจากมาตรการภาครัฐสำหรับช่วยเหลือเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย

ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวเร็วขึ้น ในด้านการผลิต ขยายตัวในเกือบทุกสาขา โดยเฉพาะสาขาโรงแรมและภัตตาคาร และก่อสร้างขยายตัวสูง การคมนาคมขนส่ง และการค้าส่งค้าปลีก ขยายตัวในเกณฑ์ดี แต่ภาคเกษตรและอุตสาหกรรมยังลดลง

สภาพัฒน์ ระบุว่า ในไตรมาส 1/59 การใช้จ่ายภาคครัวเรือน ขยายตัว 2.3% ต่อเนื่องจากการขยายตัว 2.6% ในไตรมาสก่อนหน้า โดยที่ รายจ่ายภาคบริการและการบริโภคสินค้าไม่คงทนขยายตัวต่อเนื่อง สอดคล้องกับการขยายตัวของดัชนีภาษีมูลค่าเพิ่มหมวดโรงแรมและภัตตาคาร (ราคาคงที่) การใช้กระแสไฟฟ้า ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันดีเซล และปริมาณการจำหน่ายน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์ ส่วนปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่งและปริมาณการจำหน่ายรถจักรยานยนต์ลดลงเนื่องจากมีการเร่งซื้อไปแล้วในช่วงก่อนที่จะมีการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตรถยนต์ในวันที่ 1 ม.ค.59 ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ระดับ 63.5 เทียบกับระดับ 63.6 ในไตรมาสก่อนหน้า

การลงทุนรวม ขยายตัว 4.7% เทียบกับการขยายตัว 9.4% ในไตรมาสก่อนหน้า โดยการลงทุนภาครัฐขยายตัว 12.4% จากที่ขยายตัว 41.2% ในไตรมาส 4/58 ทั้งนี้ ในไตรมาสแรกนี้การลงทุนภาครัฐบาลขยายตัว 16.2% ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเบิกจ่ายการลงทุนในส่วนท้องถิ่น ประกอบกับการลงทุนของรัฐวิสาหกิจขยายตัว 10.0% ในขณะที่การลงทุนภาคเอกชนขยายตัว 2.1% ปรับตัวดีขึ้นจากการขยายตัว 1.9% ในไตรมาสก่อนหน้า เป็นผลจากการลงทุนในหมวดก่อสร้างและการลงทุนในเครื่องมือเครื่องจักรที่ขยายตัว 7.0% และ 0.9% ตามลำดับ ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจอยู่ที่ระดับ 49.4 เทียบกับระดับ 49.7 ในไตรมาสก่อนหน้า

การส่งออกสินค้ามีมูลค่า 52,257 ล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลง 1.4% เทียบกับการลดลง 7.9% ในไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากการลดลงของราคาสินค้าส่งออกและการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า โดยปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้น 1.1% แต่ราคาสินค้าส่งออกลดลง 2.4% เมื่อหักการส่งออกทองคำที่ยังไม่ขึ้นรูปออกแล้ว มูลค่าการส่งออกในรูปเงินดอลลาร์ สรอ. ลดลง 5.1% ในขณะที่การส่งออกในรูปเงินบาทมีมูลค่า 1,862 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.7% ต่อเนื่องจากการเพิ่มขึ้น 0.9% ในไตรมาสก่อนหน้า

สาขาอุตสาหกรรม ลดลง 0.3% เทียบกับการขยายตัว 0.8% ในไตรมาสก่อนหน้า โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ขยายตัว เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องจักรและอุปกรณ์ ยางและพลาสติก อาหารและเครื่องดื่ม และผลิตภัณฑ์เคมี เป็นต้น กลุ่มอุตสาหกรรมที่ลดลง ได้แก่ เครื่องแต่งกาย ยานยนต์ สิ่งทอ และอุปกรณ์วิทยุและโทรทัศน์ เป็นต้น อัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ 67.3%

สาขาโรงแรมและภัตตาคาร เพิ่มขึ้น 15.8% เร่งขึ้นจากการขยายตัว 5.0% ในไตรมาสก่อนหน้า โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ 9.0 ล้านคน เพิ่มขึ้น 15.5% เร่งขึ้นจากการขยายตัว 3.7% ในไตรมาสก่อนหน้า รายรับจากการท่องเที่ยวอยู่ที่ 494.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.7% อัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ 69.9% เพิ่มขึ้นจาก 61.8%

สาขาการก่อสร้าง ขยายตัว 11.2% เทียบกับการขยายตัว 23.9% ในไตรมาสก่อนหน้า เป็นการขยายตัวทั้งการก่อสร้างภาครัฐและการก่อสร้างภาคเอกชน โดยการก่อสร้างภาครัฐขยายตัว 14.9% ซึ่งเป็นผลจากการก่อสร้างของรัฐบาลที่ขยายตัว 15.3% และการก่อสร้างของรัฐวิสาหกิจที่ขยายตัว 13.9% ส่วนการก่อสร้างภาคเอกชนขยายตัว 7.0% เป็นผลจากการขยายตัวของการก่อสร้างอาคารชุดที่อยู่อาศัย ตามแนวรถไฟฟ้าในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล และการก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรม

สาขาเกษตรกรรม ลดลง 1.5% เทียบกับการลดลง 2.1% ในไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากผลผลิตพืชเกษตรสำคัญลดลงจากผลกระทบของภัยแล้ง พืชผลสำคัญที่ลดลง ได้แก่ ข้าวเปลือก มันสำปะหลัง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และปาล์มน้ำมัน สำหรับราคาสินค้าเกษตรโดยรวมลดลง 5.2% เมื่อรวมกับการลดลงของปริมาณผลผลิตส่งผลให้รายได้เกษตรกรลดลง 7.0%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ