นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เชื่อว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ไทยในปีนี้จะขยายตัวได้สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 3.3% แต่คงไม่ถึงระดับ 4% ทั้งนี้เป็นผลมาจากภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่เริ่มฟื้นตัวดีขึ้น รวมทั้งเม็ดเงินจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ของภาครัฐที่ทยอยออกมาก่อนหน้านี้ โดยคาดว่าช่วงไตรมาส 2-3 จะมีเม็ดเงินลงสู่ระบบอีก 1.05 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ คาดว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2-4 จะฟื้นตัวได้ดี โดยประเมินว่า GDP ไตรมาส 2 จะโตเกิน 3.2% ส่วนไตรมาส 3 จะโตได้สูงสุด 4% และไตรมาส 4 จะโตได้ไม่ต่ำกว่า 3% พร้อมเชื่อว่าหากร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่สามารถผ่านประชามติได้แล้ว ก็จะมีผลทำให้ GDP เติบโตได้มากกว่าที่คาดไว้แน่นอน
นอกจากนี้ ปัจจัยที่ช่วยทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตดีขึ้น ยังมาจากการบริโภคภาคเอกชนที่ฟื้นตัวดีขึ้น สะท้อนจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ในช่วงที่ผ่านมาขยายตัวได้กว่า 4% และยังมีปัจจัยเสริมจากการเร่งลงทุนในโครงการต่างๆ ของภาครัฐทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ที่จะเข้ามาช่วยเติมเต็มเศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้อย่างเต็มที่ ซึ่งในส่วนของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานนั้น คาดว่าปีนี้จะสามารถเบิกจ่ายงบลงทุนได้ราว 9.75 หมื่นล้านบาท
ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวด้วยว่า นอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าวแล้ว รัฐบาลยังออกมาตรการต่างๆ เพื่อกระตุ้นให้ภาคธุรกิจเกิดการลงทุนมากขึ้น โดยจะเห็นได้จากภาพรวมการลงทุนของภาคเอกชนในช่วงไตรมาส 1/59 ที่เริ่มกลับมาขยายตัวได้ 2.1% และการจัดเก็บภาษีธุรกิจอสังหาฯ ขยายตัวได้ 19.21% ในช่วง 7 เดือนแรกของปีงบประมาณ 59 (ต.ค.58-เม.ย.59) ซึ่งปัจจัยทั้งหมดเป็นตัวสะท้อนภาพรวมการลงทุนที่เดินหน้าได้ โดยส่วนหนึ่งมีผลมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
"ตอนนี้ได้รับข้อมูลว่า นักลงทุนต่างชาติยังรอความชัดเจนเกี่ยวกับข้อมูลเศรษฐกิจของไทยจากภาครัฐ และที่ผ่านมาได้มีการสอบถามเข้ามายังหน่วยงานของไทยในต่างประเทศค่อนข้างมาก ซึ่งเราจำเป็นต้องออกมายืนยันว่าภาพรวมเศรษฐกิจของเราเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น เชื่อว่าเมื่อต่างชาติได้รับความมั่นใจแล้ว จะเริ่มหันมาลงทุนมากขึ้น จากเดิมที่ยัง Wait and See" ปลัดกระทรวงการคลังระบุ