แบงก์ออมสิน เผยดัชนีเชื่อมั่นเศรษฐกิจฐานรากพ.ค.อยู่ที่ 43.6 ลดลงจากเม.ย. ยังกังวลศก.ฟื้นช้า

ข่าวเศรษฐกิจ Monday June 20, 2016 11:49 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจฐานราก (GSI) ประจำเดือนพฤษภาคม 2559 ของศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ ธุรกิจ และเศรษฐกิจฐานราก อยู่ที่ 43.6 ปรับตัวลดลงจากเดือนเมษายนซึ่งอยู่ที่ระดับ 44.9 แสดงให้เห็นว่าประชาชนระดับฐานรากผู้บริโภคยังคงเห็นว่าภาวะเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันฟื้นตัวค่อนข้างล่าช้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากภาวะภัยแล้งและราคาพืชผลทางการเกษตรยังมีราคาต่ำ ส่งผลให้กำลังซื้อในประเทศยังฟื้นตัวไม่มาก ถึงแม้เศรษฐกิจไทยไตรมาส 1 ปี 2559 ขยายตัวได้ 3.2% ซึ่งเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 12 ไตรมาส (3 ปี) แต่ยังส่งผลสู่ประชาชนฐานรากไม่มาก

เมื่อพิจารณาดัชนีความเชื่อมั่นในด้านต่างๆ พบว่า ดัชนีที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ ดัชนีความเชื่อมั่นในความสามารถจับจ่ายใช้สอยในเดือนพ.ค.59 อยู่ที่ระดับ 68.6 เพิ่มขึ้นจากเดือนเม.ย.59 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 61.3 และดัชนีความเชื่อมั่นในภาระหนี้สินอยู่ที่ระดับ 44.9 เพิ่มขึ้นจาก 40.1 แสดงถึงภาระหนี้สินที่ผ่อนคลายลง ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นในภาวะเศรษฐกิจ การออม โอกาสในการหางานทำ และการหารายได้ของเดือนพ.ค.59 ปรับตัวลดลงจากเดือนเม.ย.59

"การที่ดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจฐานรากต่อสถานการณ์ในอนาคตปรับตัวลดลง จากระดับ 46.2 ในเดือนเมษายนมาอยู่ที่ระดับ 44.2 ในเดือนพฤษภาคม 2559 สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนฐานรากมีความกังวลเกี่ยวกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในอนาคต" นายชาติชาย ระบุ

ศูนย์วิจัยฯ คาดการณ์ว่า การบริโภคของภาคประชาชนฐานรากยังฟื้นตัวขึ้นไม่มากนักในช่วงนี้ เนื่องจากประชาชนมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตามการฟื้นตัวของประชาชนฐานรากน่าจะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นในช่วงปลายไตรมาสที่ 2 หรือต้นไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ถ้าสถานการณ์ความผันผวนของเศรษฐกิจโลกคลี่คลายลง เนื่องจากภาวะดังกล่าวสามารถส่งผลเชิงลบต่อเนื่องมาที่ภาพเศรษฐกิจในระดับฐานรากผ่านความผันผวนของรายได้ การมีงานทำ ตลอดจนภาระหนี้และค่าใช้จ่ายได้

นอกจากนี้ ศูนย์วิจัยฯ ยังได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนฐานรากเกี่ยวกับปัญหาหนี้นอกระบบในภาวะค่าครองชีพสูง โดยเมื่อสอบถามถึงปัญหาด้านรายได้และหนี้สินในปัจจุบัน พบว่า ปัญหาที่อยู่ในระดับมาก 3 อันดับแรก คือ รายได้ไม่พอกับภาวะค่าครองชีพในปัจจุบัน (45.4%) รายได้ไม่แน่นอน/ราคาผลผลิตการเกษตรไม่แน่นอน (40.0%) และเงินที่หามาได้ส่วนใหญ่ต้องนำมาใช้หนี้ (28.9%)

อย่างไรก็ตามพบว่า ประชาชนฐานรากที่ไม่มีปัญหาเจ้าหนี้คุกคาม/นายทุนขูดรีด (65.4%) ไม่ต้องกู้หนี้ใหม่มาชำระหนี้เก่าต่อๆกันไปไม่จบสิ้น (57.8%) และไม่มีปัญหาอัตราดอกเบี้ยหนี้นอกระบบสูง (56.9%)

ขณะที่รายได้และค่าใช้จ่ายในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา พบว่า 49.6% มีรายได้พอดีกับค่าใช้จ่าย รองลงมา 35.6% มีรายได้น้อยกว่าค่าใช้จ่าย มีเพียง 14.8% ที่มีรายได้มากกว่าค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ เมื่อสอบถามถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาในกรณีที่มีรายได้น้อยกว่าค่าใช้จ่าย ส่วนใหญ่จะทำการกู้ยืมนอกระบบ (41.4%) รองลงมากู้ยืมในระบบ (25.8%) และหารายได้เสริม (15.5%) ทั้งนี้จะสังเกตได้ว่า ประมาณ 3 ใน 4 จะใช้แนวทางในการแก้ปัญหาโดยการกู้ยืมผ่านแหล่งเงินต่างๆ ทั้งในระบบและนอกระบบ โดยวัตถุประสงค์ของการก่อหนี้ ได้แก่ เพื่อการอุปโภคบริโภค (33.0%) ชำระหนี้เดิม (22.7%) และเช่า/ซื้อที่อยู่อาศัย (10.9%) ตามลำดับ ซึ่งจากภาระหนี้สินดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต ทั้งที่ต้องมีการใช้จ่ายที่น้อยลง (45.2%) หารายได้เพิ่มขึ้น (36.3%) มีการกู้ยืมเงินเพิ่มขึ้น (16.4%) และถูกติดตามทวงหนี้ (1.8%) เป็นต้น

อนึ่ง ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ ธุรกิจ และเศรษฐกิจฐานราก ธนาคารออมสิน ได้ดำเนินการสำรวจจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นประชาชนที่มีรายได้ไม่เกิน 15,000 บาท ทั่วประเทศ จำนวน 1,530 ตัวอย่าง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ