"สมคิด"มองสัญญาณลงทุนมีแนวโน้มดีขึ้นหลังต่างชาติโล่งใจร่างรธน.ผ่านประชามติ

ข่าวเศรษฐกิจ Monday August 8, 2016 17:06 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เชื่อว่า หลังประชามติผ่านความเห็นจากประชาชนจะเป็นสัญญาณที่ดีที่เอื้อต่อการตัดสินใจลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาต่างประเทศอาจยังไม่เชื่อมั่นในการเมืองไทย แต่เมื่อประชามติผ่านมีโรดแมพที่นำไปสู่การเลือกตั้งที่ชัดเจน น่าจะทำให้ต่างชาติโล่งใจ และมีความมั่นใจมากขึ้น ซึ่งฝ่ายเศรษฐกิจจะเดินหน้าทำงานในโครงการต่างๆที่เคยประกาศไว้อย่างเต็มที่ในช่วงระยะเวลาที่เหลือประมาณอีก 1 ปีข้างหน้า

"ก็เป็นสัญญาณที่ดีว่าการลงทุนที่อั้นมานานเหลือเกิน ในขณะที่ Engine ตัวอื่นๆเคลื่อนไปข้างหน้าแล้ว ตัวนี้ไม่ยอมเคลื่อนสักทีมันจะได้เคลื่อนซะบ้าง"นายสมคิด กล่าว

นายสมคิด ระบุว่า สิ่งสำคัญคือทุกคนต้องมีความเชื่อมั่นในเมืองไทย เพราะยังมองเห็นศักยภาพที่ดีแม้ที่ผ่านมาการเมืองอาจจะสร้างความสับสนแต่ตอนนี้ถือว่าเมฆหมอกได้ผ่านไปแล้ว จากนี้ต่อไปจึงอยากให้ทุกฝ่ายร่วมกันทำงานหนักและก้าวไปข้างหน้าด้วยความมั่นคงด้วยกัน

นายสมคิด กล่าวว่า ในวันที่ 10 ส.ค. จะไปร่วมรับฟังนโยบายของ บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) และมีการเชิญรัฐวิสาหกิจอื่นๆ มาร่วมหารือ เพื่อเร่งรัดในเรื่องการเบิกจ่ายใช้จ่ายในช่วงไตรมาส 3 ในเร็วขึ้น เพื่อให้ทันต่อการทำสัญญา

ด้านนายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมช.พาณิชย์ เชื่อว่าหลังจากประชามติผ่านความเห็นชอบจะส่งผลดีให้การขับเคลื่อนงานด้านเศรษฐกิจเป็นไปในทิศทางที่ดี เพราะถือเป็นเสียงของประชาชนที่จะกำหนดเป็นกติกาของประเทศต่อไป ซึ่งย่อมส่งผลให้เห็นสัญญาณที่เป็นบวก ต่างชาติน่าจะยอมรับไทยมากขึ้น

ส่วนการเปลี่ยนแปลงหลังจากนี้จะไปสู่กระบวนการเลือกตั้ง ซึ่งจะมีความชัดเจนในเรื่องทั้งการเมืองและเศรษฐกิจ โดยในด้านเศรษฐกิจจะส่งผลให้เห็นความเชื่อมั่นทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งในระยะสั้นจะเห็นสัญญาณที่ดีในตลาดทุน ส่วนระยะยาวก็จะมีแนวโน้มที่เป็นบวก และส่งผลต่อการตัดสินใจในการลงทุนได้มากขึ้น

ทั้งนี้ ในภาพรวมเชื่อว่าจะส่งผลให้ GDP ในระยะปานกลางและระยะสั้น หรือในช่วง 6 เดือนถึง 1 ปีน่าจะดีขึ้น แม้ GDP ในระยะสั้นอาจจะยังไม่เห็นผลในทันที แต่เชื่อว่าการลงทุนจะปรับตัวดีขึ้น ในช่วง 3-6 เดือนหลังจากนี้ รวมถึงจะมีส่วนช่วยทำให้การจับจ่ายของประชาชนรวมถึงการจ้างงานเพิ่มมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ในระยะเวลาที่เหลืออีก 1 ปี เชื่อว่าทุกกระทรวงจะเดินหน้างานตามที่นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายไว้ ทั้งแผนยุทธศาสตร์ของแต่ละกระทรวงในกรอบเวลา 20 ปี และกรอบการทำงานในช่วงระยะเวลา 1 ปีข้างหน้า และเชื่อว่าหลังจากนี้ทุกฝ่ายจะช่วยกันรักษาบรรยากาศการฟื้นตัวทางด้านเศรษฐกิจให้ดียิ่งขึ้น และวางรากฐานในระยะยาวตามแนวทางไทยแลนด์ 4.0


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ