ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 34.57/59 แกว่งแคบ ยังไม่หลุดแนวรับที่ 34.50 รอดูตัวเลขศก.สหรัฐฯคืนนี้

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday August 16, 2016 17:23 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ระดับ 34.57/59 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่า เล็กน้อยจากช่วงเช้าที่เปิดตลาดที่ระดับ 34.60/62 บาท/ดอลลาร์

วันนี้เงินบาทค่อนข้างเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆ เพราะไม่มีปัจจัยสำคัญมากนัก โดยนักลงทุนมีการเข้าไปถือครองเงิน เยน และทองคำ อย่างไรก็ดี ช่วงคืนนี้คงต้องติดตามการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่น่าสนใจ เช่น อัตราเงินเฟ้อเดือนก. ค., ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้าน-การอนุญาตก่อสร้างเดือนก.ค. และการผลิตภาคอุตสาหกรรม-อัตราการใช้กำลังการผลิตเดือนก.ค.

"วันนี้บาทแกว่งแคบๆ เพราะไม่ค่อยมีปัจจัยสำคัญอะไรมาก ยังหลุดไม่แนวรับที่ 34.50 นักลงทุนมีการเข้าไปซื้อเยน และถือครองทองคำ" นักบริหารเงิน ระบุ

นักบริหารเงิน คาดว่า พรุ่งนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 34.50 - 34.70 บาท/ดอลลาร์

  • ปัจจัยสำคัญ
  • ช่วงเย็นนี้เงินเยนอยู่ที่ระดับ 100.05 เยน/ดอลลาร์ จากช่วงเช้าที่ระดับ 101.03/05 เยน/ดอลลาร์
  • ส่วนเงินยูโรเย็นนี้อยู่ที่ระดับ 1.1274/1277 ดอลลาร์/ยูโร จากช่วงเย็นที่ระดับ 1.1179/1182 ดอลลาร์/ยูโร
  • ดัชนี SET ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,537.52 จุด ลดลง 11.59 จุด (-0.75%) โดยมีมูลค่าการซื้อขาย 70,979 ล้านบาท
  • สรุปปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม ต่างชาติขายสุทธิ 911.44 ลบ.(SET+MAI)
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เผยในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา เงินบาทแข็งค่าขึ้นในทิศทางเดียวกับสกุลอื่นๆ ใน
ภูมิภาค หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ประกาศออกมาอ่อนแอกว่าที่ตลาดคาด ประกอบกับตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 2 ของไทย ที่
ขยายตัวมากกว่าที่คาด จึงทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้จะมีเหตุการณ์ระเบิดที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา

โดยเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้น อาจเป็นอุปสรรคต่อการประกอบธุรกิจและการปรับตัวของเอกชน และเศรษฐกิจไทย จึงขอให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งมีโอกาสเคลื่อนไหวและ ปรับเปลี่ยนทิศทางได้อย่างรวดเร็วตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งธปท.จะติดตามสถานการณ์ต่างๆ และการเคลื่อนไหวของค่า เงินบาทอย่างใกล้ชิดต่อไป

  • ธนาคารกลางจีน เปิดเผยว่า การที่ยอดปล่อยกู้สกุลเงินหยวนเดือนก.ค.อยู่ในระดับต่ำมากนั้น มีสาเหตุมาจากปัจจัย
พื้นฐาน และไม่ควรถูกนำไปตีความมากเกินไป พร้อมคาดหวังว่าตลาดจะมองว่าข้อมูลการปล่อยเงินกู้ครั้งใหม่นี้มีความสอดคล้องกับ
ภาวะเศรษฐกิจแบบ "new normal" หรือ "ดุลยภาพใหม่" และเป็นความจำเป็นเพื่อให้สอดคล้องกับกระบวนการ "ปรับลดกำลังการ
ผลิตส่วนเกินในภาคอุตสาหกรรม" ในระบบเศรษฐกิจของจีน

ถ้อยแถลงดังกล่าวมีขึ้นหลังจากธนาคารกลางจีนเปิดเผยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า ยอดปล่อยกู้ล็อตใหม่สกุลเงินหยวนประจำ เดือนก.ค. อยู่ที่ระดับ 4.636 แสนล้านหยวน (เกือบ 7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) ลดลง 1.01 ล้านล้านหยวน จากช่วงเดียวกันของ ปีก่อน และยังเป้นตัวเลขที่อยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี

  • รายงานการประชุมของธนาคารกลางออสเตรเลีย ระบุว่า แนวโน้มการขยายของเศรษฐกิจยังคงเป็นบวก และยังมี
โอกาสที่การขยายตัวจะแข็งแกร่งมากขึ้น ซึ่งการที่แบงก์ชาติออสเตรเลียได้ตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
มาอยู่ที่ 1.50% ในการประชุมครั้งที่ผ่านมานั้น เนื่องจากเงินเฟ้อของประเทศยังอยู่ในระดับต่ำ และเศรษฐกิจอาจจะขยายตัวได้รวด
เร็วกว่านี้
  • กระทรวงการคลังของสหรัฐ เปิดเผยว่า จีนซึ่งเป็นประเทศผู้ถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐรายใหญ่ที่สุด ได้ปรับลด
การถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐในเดือนมิ.ย.ลง 3.2 พันล้านดอลลาร์ มาอยู่ที่ 1.2408 ล้านล้านดอลลาร์

ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนมิ.ย.ยอดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐโดยประเทศต่างๆ รวมกันนั้น ปรับตัวเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 6.281 ล้านล้านดอลลาร์ จากระดับ 6.2099 ล้านล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ค.

  • สำนักงานปริวรรตเงินตราแห่งรัฐของจีน (SAFE) เปิดเผยว่า ธนาคารพาณิชย์จีนมียอดการทำธุรกรรมเงินตราต่าง

ประเทศสุทธิพุ่งขึ้นเกือบ 150% จากเดือนมิ.ย. แตะ 3.17 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในเดือนก.ค. โดยแยกเป็นยอดซื้อ 1.113 แสน

ล้านดอลลาร์ ขณะที่ยอดขายอยู่ที่ 1.43 แสนล้านดอลลาร์ โดยยอดการทำธุรกรรมที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นนั้น มาจากผลกระทบระยะสั้นของ

การถอนตัวจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปหรือ Brexit ประกอบกับปัจจัยทางฤดูกาล โดย SAFE มองว่าเป็นความผันผวน "ใน

กรอบที่ปกติ"


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ