พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวในงานสัมนา หัวข้อ "ทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมการบินของไทย"ว่า ขณะนี้มีความต้องบุคคลากรทางการบินเป็นจำนวนมาก เนื่องจากธุรกิจสายการบินเติบโตดี โดยมีแนวโน้มเที่ยวบินขยายตัวเกิน 4%ต่อปีในตลาดโลก และคาดว่าแนวโน้มจำนวนผู้โดยสารใน 5 ปีข้างหน้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 200 ล้านคนจากปัจจุบันมี 150 ล้านคนทั่วโลก
ทั้งนี้ ในประเทศไทยบุคคลากรการบินโดยเฉพาะกัปตัน และครูฝึกสอนการบินขาดแคลนมาก โดยความต้องการนักบินในปีนี้ อยู่ที่ 906 คน แต่จำนวนที่มีอยู่ในปัจจุบันเพียง 400 คน หรือขาดไปกว่า 50% ซึ่งการแก้ไขภาค คือ การดึงนักบินจากสายการบินอื่น หรือนักบินต่างชาติ หรือใช้นักบินจากผู้ผลิตเครื่องบินอย่างแอร์บัส และโบอิ้งเข้ามา แต่ก็ทำได้ในจำนวนที่จำกัด
พล.อ.อ.ประจิน กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาดังกล่าว รัฐบาลจะต้องกำหนดแนวทางแก้ไขให้ชัดเจน โดยให้รัฐเข้ามาช่วยสนับสนุน ซึ่งตนได้นำเสนอแนวทางไว้ต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อส่งให้กระทรวงคมนาคมลองพิจารณา โดยความเป็นไปได้ในการแก้ไขปัญหาระยะสั้น คือ จะให้นักบินหรือครูฝึกบินที่มีอายุเกิน 60 ปี สามารถกลับเข้ามาทำงานเป็นนักบิน และครูฝึกสอนการบินให้แก่ บมจ.การบินไทย (THAI) และสายการบินเอกชน แต่จะต้องแก้ไข พ.ร.บ.เพื่อให้ผู้ที่มีอายุเกิน 60 ปี สามารถปฏิบัติงานต่อได้
"การแก้ไข พ.ร.บ.คงต้องใช้เวลา ดังนั้นจะขอเสนอแก้ไข เป็นพ.ร.ก. หรืออาจจะต้องให้นายกรัฐมนตรีใช้ ม.44 แก้ไขข้อจำกัดดังกล่าว เพื่อให้มีนักบินและครูฝึกเพิ่มเข้ามาเพิ่มเป็นหลักร้อยคน และจะนำสถานที่ของรัฐ เช่น กองทัพอากาศ ให้ใช้เป็นสนามบิน และใช้เครื่องฝึกบิน" รองนายกรัฐมนตรี กล่าว
ขณะเดียวกัน คณะกรรมาธิการคมนาคม สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่เป็นผู้จัดสัมมนาเรื่อง "ยุทธศาสตร์การผลิตบุคคลากรด้านการบินของประเทศไทย" จะนำเสนอข้อมูลที่ได้จากการสัมมนาวันนี้ รวมทั้งเสนอแนวทางแก้ไขระยะสั้น (ปี 59) ระยะกลาง (ปี60) และระยะยาว (ปี 61-64) ด้วย โดยระยะสั้นจะเร่งแก่ปัญหาขาดนักบิน, บุคคลากรการบิน เช่น วิศวกรช่างซ่อมอากาศยาน ส่วนในปี 60 จะให้กองทัพอากาศเข้ามาช่วยในหลายด้าน เช่น การเพิ่มขีดความสามารถของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (สบพ.) และโรงเรียนการบินเอกชนอีกหลายแห่ง รวมทั้งการเพิ่มสถานที่ให้ฝึกบิน เช่น ที่อู่ตะเภา, ขอนแก่น