ก.อุตฯ ชูโครงการ OPOAI แก้ไขจุดอ่อน-สร้างความเข้มแข็งให้ผู้ประกอบการแปรรูปเกษตร

ข่าวเศรษฐกิจ Friday September 16, 2016 14:03 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยถึงการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตรในภูมิภาค (One Province One Agro-Industrial Product) OPOAI (โอปอย) 2 แห่งในภาคเหนือ ได้แก่ บมจ. ไทยอกริฟู้ดส์ สาขาลำพูน และบริษัท ศิริเรืองอำไพ จำกัด จ.เชียงใหม่ เพื่อติดตามผลการดำเนินโครงการฯ เน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตรที่อยู่ในโครงการฯ ให้สามารถบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์ได้ทั้งตลาด ในประเทศและต่างประเทศ เพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันเพื่อก้าวไปสู่อุตสาหกรรมแปรรูปเกษตรอย่างครบวงจร ซึ่งการลงพื้นที่เยี่ยม 2 สถานประกอบการนับว่ามีผลลัพธ์จากการดำเนินโครงการเป็นที่น่าพอใจสามารถปรับปรุงคุณภาพการผลิตและพัฒนางานได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

บมจ. ไทยอกริฟู้ดส์ ประกอบธุรกิจผลิตลิ้นจี่ ลำไย ลูกชิดในน้ำเชื่อม หน่อไม้บรรจุกระป๋อง ข้าวโพดอ่อน ในลักษณะบรรจุถุงสุญญากาศจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ

และบริษัท ศิริเรืองอำไพ จำกัด ดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์เครื่องเทศ และสมุนไพร ในลักษณะคัดชั่ง และบรรจุถุง มีกลุ่มลูกค้าส่งให้ห้างแม็คโคร 90% จำหน่ายภายในประเทศ 5% และจำหน่ายต่างประเทศในสัดส่วน 5% ได้แก่ จีน อิสราเอล และไต้หวัน

จากการเข้าเยี่ยมสถานประกอบการทั้ง 2 แห่ง พบว่า บมจ. ไทยอกริฟู้ดส์ สาขาลำพูน มีจุดอ่อนด้านความสูญเสียจากกระบวนการผลิต บุคลากรขาดความชำนาญ ยังไม่มีเทคนิคในการลดต้นทุน ขณะที่บริษัท ศิริเรืองอำไพ จำกัด มีจุดอ่อนเรื่องคลังสินค้าไม่มีการระบุตำแหน่งการจัดเก็บผลิตภัณฑ์ที่ชัดเจน ทำให้มีปัญหาเรื่องการจ่ายสินค้าไม่เป็นระบบ ไม่สามารถดำเนินการตามแผนการผลิตที่วางไว้ได้ เมื่อทีมที่ปรึกษาได้เข้าไปให้คำปรึกษาเข้าไปให้คำปรึกษาก็พยายามปรับแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งผลที่ได้รับก็เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด และทางสถานประกอบการก็มีการต่อยอดการพัฒนาโดยใช้กับผลิตภัณฑ์อื่น ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาเป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่ง ทั้ง 2 แห่ง

“การได้ลงพื้นที่เยี่ยมสถานประกอบการเพื่อสร้างการรับรู้ให้กับผู้ประกอบการ SMEs ตระหนักถึงความสำคัญ และประโยชน์ที่จะได้รับจากการเข้าร่วมโครงการฯ ซึ่งสิ่งที่สถานประกอบการได้รับไม่ใช่แค่การลดต้นทุนในปีที่เข้าร่วมโครงการเท่านั้น สิ่งที่ได้ตามมาคือเรื่องของการบริหารจัดการที่เป็นระบบ อีกทั้งยังสามารถนำองค์ความรู้ที่ได้รับไปต่อยอดในการพัฒนากับผลิตภัณฑ์อื่นๆ อีกด้วย นอกจากนี้ยังหวังว่า โอปอยจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะถักทอเชื่อมโยงเทคโนโลยีหลักที่ต้นน้ำ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมกลางน้ำ และสร้างความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ให้กับอุตสาหกรรมปลายน้ำสืบต่อไป” นายกอบชัย กล่าว

ด้านนายภัทรวรรธน์ ปิลังโหลด ผู้จัดการโรงงาน บริษัท ไทยอกริฟู้ดส์ จำกัด (มหาชน) สาขาลำพูน กล่าวว่า จากการที่บริษัทได้เข้าร่วมโครงการโอปอยในปี 2559 ประเภทแผนงานที่ 2 การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ทำให้บริษัทมองเห็นจุดอ่อนภายในกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรูป คือ มีความสูญเสียจากกระบวนการผลิตสูงถึงร้อยละ 0.1472 และพนักงานยังขาดความรู้ ความชำนาญด้านการเพิ่มผลผลิต การตรวจวัดและวิเคราะห์ความสูญเสียจากปัจจัยต่างๆ

“จากสภาวะเศรษฐกิจการส่งออกที่ชะลอตัวลง ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจที่จะต้องปรับตัวและเปลี่ยนแปลงให้ทันกับสถานการณ์ โดยเฉพาะด้านต้นทุนการผลิตสินค้า ต้องขอขอบคุณทางกระทรวงอุตสาหกรรมที่ให้โอกาสทางบริษัทฯ เข้าร่วมโครงการโอปอย ซึ่งสามารถตอบโจทย์ และสอดคล้องกับนโยบาย กลยุทธ์ ความต้องการของภาคธุรกิจได้เป็นอย่างดี ตลอดจนสามารถยกระดับ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจแปรรูปการเกษตร ให้มีการเติบโตในระดับสากล อีกทั้งยังเป็นการเตรียมพร้อมของอุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตรในก้าวสู่ ยุคอุตสาหกรรม 4.0 ตามนโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรมและรัฐบาลต่อไป"

ส่วนนางอำไพ ศิริอนันต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศิริเรืองอำไพ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจเครื่องเทศ และสมุนไพรอบแห้งกล่าวว่า บริษัทได้เข้าร่วมโครงการโอปอยในปี 2559 ประเภทแผนงานที่ 3 การปรับปรุงคุณภาพและพัฒนางาน พบว่าทางบริษัทมีจุดอ่อนเรื่องของคลังสินค้าสำเร็จรูปและสินค้ากึ่งสำเร็จรูป ไม่มีการระบุตำแหน่งการจัดเก็บผลิตภัณฑ์ที่ชัดเจน อีกทั้งปัญหาเรื่องวัตถุดิบไม่มีคุณภาพ และประเภทแผนงานที่ 5 การยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ / ระบบมาตรฐานสากล

"ทีมที่ปรึกษาของโครงการฯ ได้เข้ามาให้ความรู้ ความเข้าใจในกระบวนการพัฒนาเพื่อปรับปรุงคุณภาพโดยมีการทดลองการทำงานเป็นทีมในการแก้ไขข้อบกพร่องแต่ละจุด สามารถลดต้นทุนลดความสูญเสีย และทำให้ทางบริษัทฯ มีโอกาสในการขายสินค้าได้มากขึ้น คาดการณ์ว่า ในปี 2560-2564 จะมีมูลค่าการขายที่เพิ่มขึ้น 13,102,000 บาท รวมทั้ง 2 แผนงาน ทางบริษัทฯ สามารถลดต้นทุน เพิ่มรายได้รวม 13,467,981.00 บาท"

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ