รัฐ-เอกชนมองตลาดทุน-ตลาดเงินไทยกระทบแค่ช่วงสั้น"ทรัมป์"นั่ง ปธน.สหรัฐเชื่อส่งผลดีต่อศก.ระยะยาว

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday November 10, 2016 18:22 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยในงานสัมมนา "ทิศทางตลาดทุนและเศรษฐกิจไทย...หลังเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ" ว่า น่าจะเกิดผลกระทบต่อตลาดในระยะสั้น หรือราว 1 สัปดาห์ทั้งตลาดการเงินและตลาดทุน โดยการที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ก้าวขึ้นมาเป็นว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ คงมีเรื่องที่ต้องการดำเนินการ 2 เรื่อง คือ การยกเลิกข้อตกลงทั้งการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) และ ข้อตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (TPP) ซึ่งน่าจะส่งผลกระทบในระยะยาวต่อประเทศเม็กซิโก และประเทศที่ได้เปรียบและเอาเปรียบสหรัฐฯอย่างต่อเนื่อง เช่น จีน ,เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น

นอกจากนั้น ยังมีเรื่องของการลงทุนในประเทศใกล้เคียงที่อาจมีการขึ้นภาษีนำเข้า รวมถึงเรื่องภาษีที่เกี่ยวกับการค้าการลงทุนต่างๆ แต่ประเทศไทยน่าจะได้รับผลกระทบค่อนข้างน้อย เนื่องด้วยบริษัทสหรัฐฯมาลงทุนในไทยเพื่อขายของในเอเชีย ไม่ได้นำเข้าสินค้ากลับไปยังสหรัฐ อีกทั้งเห็นว่าการดำเนินนโยบายทุกอย่างที่ นายบารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐ สั่งการไว้ก็คงจะยกเลิกทั้งหมด เนื่องจากทรัมป์ คิดว่านโยบายที่เกิดขึ้นคือสิ่งที่เป็นภาระของภาคธุรกิจ

"การที่ทรัมป์มาอาจจะไม่แย่ก็ได้ เหมือนกับ Brexit ซึ่งอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเจริญในประเทศของเขา แต่ในตอนแรกอาจจะวุ่นวายเล็กน้อย ซึ่งเชื่อว่าแม้ทรัมป์อาจจะไม่เก่งการเมืองมากนัก แต่คนที่อยู่รอบข้างเขาถือว่าเป็นคนเก่ง และทรัปม์เป็นคนฉลาด น่าจะนำพาประเทศให้ไปสู่ความเจริญได้ และไทยน่าจะได้รับผลดีตามไปด้วย"นายกอบศักดิ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม โอกาสการลงทุนของโลกจะอยู่ที่ไทย ซึ่งมองว่าความสัมพันธ์ทางการค้าของอาเซียนจะเริ่มเป็นปึกแผ่นมากขึ้นหลัง สหรัฐฯมีการยกเลิกข้อตกลง TPP และไทยน่าจะเป็นจุดสนใจของต่างชาติจากการที่ประเทศที่อุดมสมบูรณ์ รวมถึงการดำเนินนโยบายของสหรัฐฯก็อาจมีบางอย่างที่นำไปใช้ไม่ได้จริง จากฐานะทางการคลังที่ไม่ได้ดีนัก

ด้านนายไพบูลย์ นลินทรางกูร นายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน กล่าวว่า นโยบายของทรัมป์ที่น่าจะดำเนินการอย่างแน่นอน คือ การปรับปรุงระบบภาษี จากการสนับสนุนของพรรคริพับลิกัน และมองว่าน่าการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลจะเป็นนโยบายแรกที่ทรัมป์จะดำเนินการและน่าจะเป็นตัวช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐฯดีขึ้น เนื่องด้วยบริษัทจดทะเบียนจะมีกำไรมากขึ้น สามารถนำเงินมาลงทุนและจ้างงานได้มากขึ้น และน่าจะทำให้ประชาชนมีรายได้มากขึ้น

ขณะที่นโยบายการยกเลิกข้อตกลง NAFTA และ TPP ก็น่าจะได้รับแรงสนับสนุนจากพรรคเช่นกัน และน่าจะเป็นผลบวกต่อไทย เพราะไทยไม่ได้เป็นสมาชิกทั้งสองข้อตกลง รวมถึงการปรับเปลี่ยนนโยบาย"โอบามาแคร์" หรือการประกันสุขภาพ ซึ่งมองว่าโครงการดังกล่าวคงถูกยกเลิก หรือปรับเปลี่ยนวิธี เนื่องด้วยประชาชนส่วนใหญ่มีค่าใช้จ่ายที่มาก และยังมีคนบางคนที่ไม่ได้อยู่ในประกันสุขภาพ

"ขณะนี้ตลาดทุนตอบรับดี และตลาดทุนเชื่อว่าทรัมป์น่าจะมีวิธีของเขาที่จะสามารถตอบกับประชาชนได้ว่าเรื่องไหนที่ทำไม่ได้ เพราะว่าสภาไม่เอาด้วย ฉะนั้นผมคิดว่าทรัมป์เข้ามา ข้อดีในเรื่องของธุรกิจน่าจะดีขึ้น"นายไพบูลย์ กล่าว

ขณะที่นายสุรงค์ บูลกุล นายกสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯจะกลับไปเหมือนปี ค.ศ.1970 ซึ่งเป็นการเติบโตจากภายในเพียงอย่างเดียว ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯมีขนาดใหญ่มาก ขณะที่มองประเทศไทยอาจไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการดำเนินนโยบายของนายทรัมป์ ในเรื่องของการกีดกันทางการค้า แต่น่าจะมีผลกระทบจากการที่สหรัฐฯจะมีการปิดประเทศมากขึ้น ที่น่าจะส่งผลต่อโอกาสที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทย โดยผู้ประกอบการจะต้องมีการปรับตัว เร่งดำเนินโนบายประเทศไทย 4.0 และทำให้เศรษฐกิจภายในประเทศมีความเข้มแข็งมากขึ้น หรือมีภูมิคุ้มกันมากขึ้น

นอกจากนี้ มองโอกาสการลงทุนระยะสั้น เรื่องของพลังงานถ่านหิน น่าจะได้รับผลดี โดยสหรัฐฯน่าจะกลับมาใช้พลังงานชนิดเดิมๆ ขณะที่ราคาน้ำมันก็น่าจะอยู่ในระดับทรงตัว จากซัพพลายที่มีอยู่มากเกินดีมานต์โลก ถ่านหิน น่าจะมีราคาสูงขึ้น รวมถึงโลจิสติกส์ น่าจะได้รับผลกระทบจากการกีดกันการนำเข้าสินค้า

นายเบญจรงค์ สุวรรณคีรี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่และหัวหน้านักวิเคราะห์ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี กล่าวว่า ประชาชนสหรัฐฯเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างมาก โดยนโยบายของประธานาธิบดีคนที่ 45 นี้ จะเน้นไปเรื่องของภาษี คือลดภาษีทั้งนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา รวมถึงนโยบายเรื่องของการกำหนดขอบเขตการจ้างงานแรงงานต่างด้าว และการค้า ซึ่งจะเห็นได้ว่านโยบายของทรัมป์จะเป็นการแก้ไขปัญหาของคนอเมริกาก่อน ส่วนเศรษฐกิจโลกจะเอาไว้ทีหลัง

อย่างไรก็ตามจากนี้ไปการดำเนินนโยบายของทรัมป์ ก็อาจจะมีการปรับเปลี่ยน โดยให้จับตาดูการแถลงต่อสภาคองเกรส ซึ่งจะเป็นการสื่อข้อความถึงนโยบายของประธานาธิบดีที่จะมีการดำเนินการ มองว่าทรัมป์น่าจะดำเนินการได้พอสมควร จากการสนับสนุนของพรรคริพับลิกัน

ขณะเดียวกันได้ประเมินผลกระทบหลังจากทราบผลการเลือกตั้ง ที่จะมีต่อตลาดทุนไทย คาดว่าจะเกิดความผันผวนในระยะสั้น หรือราว 1 เดือน เนื่องด้วยจากนี้ไปทรัมป์ จะไม่มีการให้สัมภาณ์ออกสื่อหรือให้ข้อมูลเกี่ยวกับนโยบาย จนกว่าจะเข้ารับตำแหน่งในเดือนม.ค.60

"แนะนักลงทุนอย่างเพิ่งวิตกกังวลต่อนโยบายของทรัมป์ ซึ่งตัวทรัมป์เองไม่ได้ยึดติดตรงนั้นเลย ขณะที่เขาเองก็เป็นนักธุรกิจก็น่าจะมีการปรับตัวค่อนข้างสูง ซึ่งหลายๆอย่างตอนหาเสียง เมื่อนำไปสู่นโนบายอาจจะไม่เป็นอย่างตอนหาเสียง 100% ให้รอดูความชัดเจนนโยบายของเขาอีกที"

ส่วนมุมมองการค้าในภูมิภาค น่าจะกลับมาในอาเซียน +6 ค่อนข้างมาก โดยในแง่ของการลงทุนที่ไทยอาจจะได้รับผลกระทบ คือ เงินเฟ้อ จากปัจจุบันเงินเฟ้อในสหรัฐฯมีราว 1.5% และน่าจะมีแนวโน้มที่สูงขึ้น จากปัจจัยความเสี่ยงของนโยบายหลายๆอย่าง และน่าจะส่งผลให้สหรัฐฯต้องกลับมาพิจารณาในเรื่องของดอกเบี้ย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ