นายสมศักดิ์ ปณีตัธยาศัย นายกสมาคมกุ้งไทย เปิดเผยถึงสถานการณ์กุ้งของไทยปี 59 ว่า มีผลผลิตกุ้งโดยรวมประมาณ 3 แสนตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 15% หลังจากที่การเลี้ยงเริ่มฟื้นตัวจากการแก้ไขปัญหาโรคตายด่วน (EMS) ได้สำเร็จ โดยการปรับปรุงฟาร์มและการจัดการการเลี้ยงที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งเชื่อว่าในปี 60 จะเป็นปีที่ดีสำหรับเกษตรกร ทั้งราคาและผลผลิตที่น่าจะอยู่ในเกณฑ์ดี
"ประมาณการผลผลิตปี 59 ผลผลิตกุ้งไทยอยู่ที่ประมาณ 300,000 ตัน เพิ่มขึ้นจากปี 58 ที่ผลผลิตกุ้งได้ 260,000 ตัน หรือเพิ่มขึ้น 15% ทั้งนี้จากการที่ผู้เลี้ยงปรับเปลี่ยนระบบการเลี้ยง ทำให้สามารถแก้ไขปัญหาโรคระบาด EMS ได้สำเร็จ รวมถึงการพัฒนาสายพันธุ์ที่มีคุณภาพ ส่วนผลผลิตกุ้งทั่วโลกคาดว่าอยู่ที่ประมาณ 2.363 ล้านตัน ลดลงจากปีก่อนเล็กน้อยที่ 1%"นายกสมาคมกุ้งไทย กล่าวสำหรับปริมาณการส่งออกกุ้งในเดือน ม.ค.-ต.ค.59 อยู่ที่ 160,935 ตัน คิดเป็นมูลค่า 54,483 ล้านบาท โดยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จะพบว่าปริมาณเพิ่มขึ้น 25.86% ส่วนมูลค่าเพิ่มขึ้น 23.11%
นายสมศักดิ์ คาดว่าทั้งปี 59 จะสามารถส่งออกกุ้งได้ 2 แสนตัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 25% คิดเป็นมูลค่าราว 6 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% ขณะที่ในปี 60 คาดว่าจะสามารถส่งออกกุ้งได้ 2.3-2.5 แสนตัน เพิ่มขึ้นจากปีนี้ 10-15%
"อุตสาหกรรมการเลี้ยงกุ้งไทยมีแนวโน้มดีขึ้น ทั้งนี้เพราะเกษตรกรมีความชัดเจนในแนวทางการเลี้ยงมากขึ้น โดยเฉพาะแนวทาง 3 สะอาด คือ พื้นบ่อต้องสะอาด น้ำต้องสะอาด และลูกกุ้งต้องสะอาด ซึ่งจะเป็นแนวทางที่จะทำให้ลูกกุ้งเลี้ยงโตได้ แต่ยังไม่พอ หากต้องการทำกำไรต้องหาลูกกุ้งที่โตเร็วที่สุด" นายสมศักดิ์ กล่าวแนวโน้มราคากุ้งยังมีเสถียรภาพ ด้านมูลค่าการส่งออกกุ้งในปีหน้าขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยน แต่มองว่าแนวโน้มความต้องการอาหารทะเลทั่วโลกยังมีมีอยู่สูง โดยตลาดส่งออกหลักคือ สหรัฐอเมริกา 40% ญี่ปุ่น 20-30% จีนเกือบ 10% ซึ่งอนาคตเป็นตลาดที่มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเป็น 10% ได้ ส่วนยุโรปเรามองว่าเป็นตลาดที่ยังต้องจับตาดูเนื่องจากมีปัญหาเศรษฐกิจหมักหมม มีเพียงเยอรมนีเพียงประเทศเดียวที่พอจะค้ำจุนประเทศสมาชิกอยู่ได้
สำหรับการเปลี่ยนประธานาธิบดีของสหรัฐฯจากพรรคเดโมแครตมาเป็นพรรครีพับลิกัน มองว่าถึงจะเปลี่ยนผู้นำเปลี่ยนนโยบายการค้าค้าอย่างไรพฤติกรรมการบริโภคก็คงไม่เปลี่ยน
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ด้านการผลิตและการส่งออกของอุตสาหกรรมกุ้งไทยน่าจะส่งออกมีแนวโน้มสดใสขึ้นจากหลายๆปัจจัย คือ การเพาะเลี้ยงกลับมาสู่ปกติหลังแก้ปัญหาโรค EMS ได้ มีการพัฒนาคุณภาพการเลี้ยง ทำให้ต้นทุนของเกษตรกรลดลง และจากข่าวที่เม็กซิโกได้อนุญาตให้นำเข้ากุ้งจากไทยแล้ว หลังจากที่ได้มีการสั่งระงับการนำเข้า ตั้งแต่ปี 2556 เนื่องจากเกิดการระบาดของโรคตายด่วน (EMS) ในประเทศไทย ถือเป็นข่าวที่ช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กุ้งไทย
ส่วนสถานการณ์ของประเทศอื่นๆ นั้น จีน ซึ่งเคยผลิตได้มากที่สุด แต่มาปี 59 ผลิตลดลง 8% เหลือ 550,000 ตัน แต่การบริโภคดีขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากเศรษฐกิจในประเทศโตวันโตคืน แต่ยังคงประสบปัญหาโรค EMS ทำให้ต้องหยุดลงกุ้งหรือเลิกเลี้ยงไป โดยเฉพาะมณฑลที่อยู่ทางภาคใต้ เช่น กวางตุ้ง กวางสี ไหหนาน ส่วนภาคกลางขึ้นไปทางเหนือที่เลี้ยงแบบโรงเรือนปิดยังทำได้ดี แนวโน้มผลผลิตปีหน้าน่าจะใกล้เคียงกับปีนี้ แต่ส่วนใหญ่เลี้ยงเพื่อบริโภคภายในประเทศ
อินเดีย ปัจจุบันเป็นผู้ส่งออกอันดับ 1 ผลผลิตปีนี้อยู่ที่ประมาณ 4 แสนตัน เพิ่มขึ้น 5% เนื่องจากมีการขยายพื้นที่เลี้ยง แต่มีปัญหาเรื่องโรคตัวแดงดวงขาว โรคขี้ขาวจากการจัดการฟาร์มที่ไม่ดีพอ แนวโน้มผลผลิตปีหน้าน่าจะยังทรงตัว แต่ขนาดตัวน่าจะเล็กลงอยู่ที่ประมาณ 50 ตัว/กก. และมีปัญหาสารตกค้างทำให้สินค้าถูกตีกลับบ้าง เผาทำลายบ้าง
เวียดนาม ผลผลิตปีนี้เพิ่มขึ้นมา 5% อยู่ที่ 220,000 ตัน ราคากุ้งปรับตัวลดลง เกษตรกรลงกุ้งช้า ฝนมาเร็วกว่าปกติ สภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน บางบ่อยังเผชิญโรคเลี้ยงแต่ไม่โต แต่ก็ไม่ตายทำให้ต้นทุนเกษตรกรสูงขึ้น โรคระบาดรุมเร้าทั้งขี้ขาว EMS ตัวแดงดวงขาว ซึ่งเวียดนามถึงจะโปรโมทการเลี้ยงกุ้งแข่งกับประเทศไทย แต่ผลผลิตก็ยังย่ำอยู่ที่ 2 แสนตันไม่เกิน 3 แสนตัน
นายสมศักิด์ กล่าวต่อว่า ถึงแม้ปีหน้าก็ยังเป็นปีที่ดีสำหรับกุ้งไทย แต่ก็มีข้อเรียกร้องให้ภาครัฐประชาสัมพันธ์มาตรฐานแรงงานในอุตสาหกรรมกุ้งตลอดห่วงโซ่อุปทาน เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทยในการปรับปรุงแก้ไขเรื่องแรงงานที่ไม่เป็นธรรม เช่น มาตรฐาน GLP หรือ มาตรฐาน TLS 8000
พร้อมกันนั้น ควรจะเจรจากับประเทศจีนเรื่องภาษี VAT ซึ่งจะถูกเรียกเก็บประมาณ 13% หากเป็นการนำเข้าผ่านด่านประเทศจีนโดยตรง ที่ผ่านมาผู้นำเข้าไปนำเข้าผ่านประเทศเวียดนาม ซึ่งได้รับสิทธิพิเศษไม่เสียภาษี VAT และเจรจากับรัฐบาลออสเตรเลียให้สิทธิพิเศษในการนำเข้ากุ้งดิบกับประเทศไทย
ด้านนายบรรจง นิสภวาณิชย์ ประธานสมาพันธ์เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งไทย กล่าวถึงภาพรวมการเลี้ยงกุ้งไทยในปีนี้ว่า ผลผลิตกุ้งไทยปีนี้เพิ่มขึ้น 15% โดยภาคที่มีผลผลิตมากที่สุด ได้แก่ ภาคใต้ฝั่งอ่าวไทยเพิ่มขึ้น 38% ภาคตะวันออก 25% ภาคกลาง 19% และภาคใต้ฝั่งอันดามัน 18% ทั้งนี้ ลูกกุ้งในปีนี้มีการพัฒนาปรับปรุงพันธุ์มีคุณภาพและการเจริญเติบโตที่ดีขึ้น รวมทั้งการตรวจคุณภาพการผลิตและตรวจโรคที่เป็นอันตรายให้ลูกกุ้งมีความแข็งแรง นอกจากนี้ ผู้เลี้ยงกุ้งยังมีการร่วมกันศึกษาข้อมูลและประยุกต์ใช้ในการปรับปรุงวิธีการเลี้ยงที่เหมาะสม โดยเฉพาะระบบการเลี้ยงแบบ 3 สะอาด ซึ่งเป็นการเลี้ยงที่เลียนแบบการอนุบาลลูกกุ้งที่ต้องมีความสะอาดของบ่อ น้ำ และลูกกุ้ง
ขณะที่ท.พ.สุรพล ประเทืองธรรม นายกกิตติมศักดิ์สมาคมกุ้งไทย และนายกสมาคมผู้เลี้ยงกุ้งทะเลไทย กล่าวว่า คุณภาพของสินค้ากุ้งเป็นสิ่งสำคัญที่จะเอาชนะคู่แข่ง โดยคุณภาพของสินค้านอกจากเรื่องของความปลอดภัยอาหาร สวย สด สะอาด รสชาติดีแล้ว ปัจจุบันผู้บริโภคยังต้องการคุณภาพด้านอื่นๆ เช่น การตรวจสอบย้อนกลับ วัตถุดิบที่นำมาทำอาหารกุ้ง สวัสดิภาพแรงงาน และสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายในอุตสาหกรรมต้องร่วมมือกันเพื่อความยั่งยืนในอุตสาหกรรมกุ้งไทย โดยเฉพาะการปลอดจากยาและสารตกค้าง ซึ่งยังเป็นจุดเด่นของกุ้งไทยที่เหนือกว่าประเทศอื่นๆ ในเอเชีย
นายสมชาย ฤกษ์โภคี เลขาธิการสมาคมกุ้งไทย และประธานชมรมผู้เลี้ยงกุ้งสุราษฎร์ธานี ตัวแทนผู้เลี้ยงกุ้งภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย กล่าวว่า ข้อจำกัดของอุตสาหกรรมกุ้งไทยคือพื้นที่ทั่วประเทศมีจำกัดคือ 3 แสนไร่ และไม่สามารถเพิ่มได้มากไปกว่านี้ ทำให้เกษตรกรต้องปรับตัวอย่างมากกว่าทำอย่างไรเราจึ้งจะแข่งขันได้ ได้กุ้งที่มีคุณภาพ ทำให้ต้องมอง 3 เรื่องคือ 1.การเพิ่มปริมาณผลผลิตต่อไร่ 2. เพิ่มขนาดกุ้ง 3. ระยะเวลาการเพาะเลี้ยงสั้นลง
ในเรื่องเพิ่มปริมาณผลผลิตต่อไร่นั้น ในส่วนของการเลี้ยงกุ้งที่สุราฎร์ธานี ซึ่งมีพื้นที่การเลี้ยง 70,000 ไร่ และมีการจัดการปัญหาของเสียอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีการปรับเปลี่ยนพื้นที่การเลี้ยง เนื่องจากมีการปรับโครงสร้างของระบบเลี้ยงมาใช้น้ำสะอาดมาก ทำให้ต้องตัดส่วนที่เป็นบ่อเลี้ยงมาเป็นบ่อพักน้ำเพิ่มขึ้น ดังนั้นเพื่อให้ได้ผลผลิตกลับมาเท่าเดิม ผู้เลี้ยงที่สุราษฎร์ธานีจึงหันมาเน้นเรื่อง 3 เรื่องคือเพิ่มปริมาณต่อไร่จาก 150,000 ตัวต่อไร่ เป็น 2-3 แสนตัวต่อไร่ ซึ่งทดลองแล้วจึงตอบโจทย์ว่าพื้นที่เลี้ยงลดลงแต่ได้ผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้น
ส่วนการเพิ่มขนาดกุ้ง จากขนาดปกติ 40 ตัว/กก. ราคาอยู่ที่ประมาณ 270 บาท เพิ่มเป็น 30 ตัว/กก. ราคาประมาณ 300 บาท ขนาด 20 ตัว/กก.ราคาอยู่ที่ 340 บาท และ ลดระยะเวลาการเลี้ยงให้สั้นลง จากเดิมที่ขนาด 40 ตัว/กก.ใช้ระยะเวลาการเลี้ยงประมาณ 120 วัน แต่ปัจจุบันใช้เวลาเลี้ยงแค่ 90 วัน ขนาด 20 ตัวใช้เวลา 120-130 วันก็จับขายได้แล้ว ตรงนี้คือการลดต้นทุนของเกษตรกรได้โดยอัตโนมัติ