YLG มองราคาทองปี 60 ในช่วง 1,090-1,260 ดอลลาร์/ออนซ์ จับตาเฟดขึ้นดอกเบี้ย-นโยบาย"ทรัมป์"

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday December 29, 2016 12:41 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวถึงภาพรวมราคาทองคำในตลาดโลกปี 60 วายแอลจีประเมินกรอบความเคลื่อนไหวราคาทองคำมีแนวรับที่ 1,090 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 18,600 บาทต่อบาททองคำ และแนวต้านอยู่ที่ 1,260 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 21,500 บาทต่อบาททองคำ

เบื้องต้นจับตาแนวรับบริเวณ 1,090 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากยืนได้อย่างแข็งแกร่งยังมีโอกาสที่ราคาทองคำจะขยับขึ้นและทดสอบแนวต้าน 1,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากไม่ผ่านจะมีการอ่อนตัวลงเพื่อตั้งฐานราคาอีกครั้ง แต่หากผ่าน 1,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ ราคาทองคำมีแนวโน้มจะปรับตัวขึ้นต่อเพื่อทดสอบแนวต้านสำคัญถัดไปในโซน 1,250-1,260 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งหากราคาทองคำสามารถกลับไปยืนเหนือโซนดังกล่าวได้มีโอกาสทดสอบ High เดิมของปี 2559 บริเวณ 1,375 ดอลลาร์ต่อออนซ์

อย่างไรก็ตาม หากราคาทองคำหลุดแนวรับระดับ 1,090 ดอลลาร์ต่อออนซ์จะส่งผลให้เกิดแรงขายและกดดันให้ราคาทองคำมีโอกาสปรับตัวลงต่อเพื่อทดสอบทดสอบ Low ของปี 2558บริเวณ 1,045 ดอลลาร์ต่อออนซ์

สำหรับราคาทองคำตลาดโลกในปี 59 (ณ 27 ธ.ค.59) ยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 78.14 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 7.4% จากราคาเปิดในช่วงต้นปีที่ 1,060.71 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยมีกรอบการเหวี่ยงตัวจากจุดต่ำสุดถึงจุดสูงสุดในระดับ 314.29 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 30% จากราคาเปิด ขณะที่ราคาทองคำในประเทศนั้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกันถึง 1,200 บาทต่อบาททองคำ หรือ ประมาณ 6.5%

นางพวรรณ์ กล่าวว่า ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปีราคาทองคำพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องและขึ้นไปแตะจุดสูงสุดของปีที่ระดับ 1,375 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งประเด็นหลักที่ช่วยหนุนราคาทองคำ ได้แก่ การชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และการทำประชามติของสหราชอาณาจักรที่ต้องการออกจากสหภาพยุโรปหรือ EU (Brexit) ตลาดจนความไม่แน่นอนทางการเมืองจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในเดือน พ.ย.

จนกระทั่งในไตรมาส 4 ราคาทองมีการปรับตัวลดลงต่อเนื่องหลังนักลงทุนเชื่อมั่นว่านโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะช่วยหนุนภาวะเศรษฐกิจและหนุนอัตราเงินเฟ้อให้ปรับตัวสูงขึ้น ปัจจัยดังกล่าวถือเป็นปัจจัยบวกต่อสกุลเงินดอลลาร์และสินทรัพย์เสี่ยงโดยเฉพาะตลาดหุ้น

นอกจากนี้การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมวันที่ 13-14 ธ.ค.พร้อมทั้งส่งสัญญาณว่าเฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปี 60 แทนที่จะปรับขึ้นเพียง 2 ครั้งตามที่คาดการณ์ไว้ในเดือนกันยายน ส่งผลให้ดัชนีดอลลาร์แข็งค่าขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 14 ปีและเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันให้ราคาทองปรับตัวลดลงเช่นเดียวกัน

ส่วนกลยุทธ์การลงทุนนั้น แนะนำให้นักลงทุนเข้าซื้อเมื่อราคาย่อตัวลงมาบริเวณแนวรับ และรอไปขายทำกำไรเมื่อราคาดีดตัวขึ้นไปหรือตามบริเวณแนวต้านต่างๆ อย่างไรก็ตามวายแอลจีเน้นย้ำว่านักลงทุนระยะสั้นควรวางแผนการลงทุนที่ชัดเจน มีจุดเข้าซื้อ จุดขายทำกำไร หรือจุดตัดขาดทุน และปฏิบัติตามแผนที่วางไว้อย่างเคร่งครัด

สำหรับประเด็นหลักที่อาจเป็นปัจจัยกดดันความเคลื่อนไหวของราคาทองคำในปี 60 คือ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด หากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ 3 ครั้งตามคาดหรือปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอัตราที่รวดเร็วมากกว่า 3 ครั้งอาจยิ่งหนุนให้สกุลเงินดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรให้พุ่งขึ้นซึ่งเป็นปัจจัยหนักที่จะกดดันราคาทองคำ

นอกจากนี้การคาดการณ์ในเชิงบวกต่อนโยบายของนาย โดนัลด์ ทรัมป์จะกระตุ้นความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงของนักลงทุนต่อเนื่องในปีหน้าซึ่งความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้เกิดแรงขายทองคำที่อยู่ในสินทรัพย์ปลอดภัยเช่นกัน ทั้งนี้ นับตั้งแต่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเป็นต้นมา กองทุน SPDR ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลกมีการลดการถือครองทองคำต่อเนื่องมากกว่า 130 ตันสะท้อนความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยที่ลดลง ตลอดจนอุปสงค์ทองคำในจีนและอินเดียที่อาจซบเซาต่อเนื่องซึ่งทำให้ราคาทองคำขาดปัจจัยหนุนและกดดันการฟื้นตัวของราคาทองคำในปีหน้าได้

ทั้งนี้ ยังคงมีปัจจัยบวกที่จะสนับสนุนราคาทองคำได้ คือ นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ นางเทเรซา เมย์ จะเริ่มต้นกระบวนการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป(อียู) หรือ Brexit ก่อนสิ้นเดือน มี.ค.60 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเจรจาที่จะต้องเสร็จสิ้นภายใน 2 ปี คือต้นปี 62 และหากการเจรจาในปีหน้าเป็นไปอย่างไม่ราบรื่นอาจกลับมาหนุนทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยได้

และถึงแม้การเจรจาจะราบรื่นโดยอังกฤษได้รับเงื่อนไขที่ดีเมื่อออกจากการเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป ก็จะยิ่งกระตุ้นให้อีกหลายประเทศในสหภาพยุโรปทั้ง เยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาลี เนเธอร์แลนด์ สเปน ต้องการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปเช่นกัน ซึ่งความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นจะส่งผลหนุนราคาทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ตลอดจนความไม่แน่นอนทางการเมืองในยุโรป ซึ่งในปี 60 จะมีการจัดการเลือกตั้งทั้งในเยอรมัน, ฝรั่งเศสและเนเธอร์แลนด์ หากเกิดการพลิกขั้วอำนาจทางการเมืองไปสู่พรรคการเมืองฝ่ายขวาจัดก็อาจนำมาซึ่งการจัดทำประชามติขอแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปทั้งในฝรั่งเศสและเนเธอร์แลนด์ได้

นอกจากนี้ หากในปีหน้าธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้น้อยกว่าคาดการณ์ที่ 3 ครั้ง หรือหากนโยบายอย่างเป็นทางการของนายโดนัล ทรัมป์สร้างความผิดหวังและทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดลงอาจส่งผลให้สกุลเงินดอลลาร์กลับมาอ่อนค่าและหนุนราคาทองคำให้ฟื้นตัวได้เช่นกัน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ