(เพิ่มเติม) รมว.คลัง เผยรัฐบาลเดินหน้าเร่งกระตุ้นการลงทุนทั้งภาครัฐ-เอกชนเพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนศก.-ยันต่างชาติยังลงทุนไทย

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday January 26, 2017 17:01 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง กล่าวในงานสัมมนา "กลุ่มจังหวัด-คลัสเตอร์โมเมนตั้มใหม่ เศรษฐกิจไทยสู่ระดับโลก" ว่า การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในปีนี้ยังใช้การลงทุนภาครัฐเป็นตัวนำ พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมลงทุน ซึ่งหากเอกชนเข้ามาร่วมลงทุนเป็นจำนวนมากก็จะมีส่วนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ดีขึ้น โดยรัฐบาลจะเน้นการปรับโครงสร้างประเทศเข้าสู่ยุคประเทศไทย 4.0

ขณะที่การจัดสรรงบประมาณจะเน้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านกลไกจังหวัดทั้ง 18 กลุ่ม ซึ่งในวันพรุ่งนี้ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จะมีการพิจารณางบเพิ่มเติมวงเงิน 1.9 แสนล้านบาท โดยตั้งวงเงินกู้เพิ่มไว้ 1.6 แสนล้านบาท ซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบต่อปัญหาหนี้สาธารณะ เนื่องจากนับถึงสิ้นเดือน ธ.ค.สัดส่วนหนี้สาธารณะของประเทศอยู่ที่ 42% ของจีดีพี

รมว.คลัง กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญในการกระจายงบประมาณลงสู่จังหวัดมากขึ้น เนื่องจากเห็นว่าจะเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยเป็นการทำงานร่วมกันของผู้ว่าราชการจังหวัดกับภาคเอกชนในพื้นที่ เพื่อพิจารณาโครงการที่ตรงกับความต้องการของท้องถิ่น โดยกำหนดกรอบงานไว้ 5 ประการ คือ 1.โครงการเพิ่มประสิทธิภาพอุตสาหกรรม การค้า และการลงทุน 2.โครงการพัฒนาด้านการเกษตร 3.โครงการท่องเที่ยว 4.โครงการดูแลสังคม และ 5.โครงการขนาดใหญ่

"เมื่อมีการกระจายงบลงไปจะช่วยให้เศรษฐกิจท้องถิ่นดีขึ้น เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น โดยรัฐบาลพร้อมที่จะจัดสรรงบให้กับจังหวัดเพิ่มเติมในปีงบ 61 เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการทำงานที่ค้างอยู่" นายอภิศักดิ์ กล่าว

รมว.คลัง กล่าวว่า นอกจากนี้รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) เพื่อช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งจะดำเนินการควบคู่ไปกับโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน โดยเชื่อว่าปีนี้จะมีการเบิกจ่ายงบสำหรับโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานได้ราว 2.3 แสนล้านบาท ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม สีแดง สีชมพู สีเหลือง รวมถึงรถไฟรางคู่ และระบบบริหารจัดการน้ำทั่วประเทศ

รมว.คลัง กล่าวว่า กรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประเมินว่าในปีนี้การลงทุนภาคเอกชนจะไม่ขยายตัวนั้น อาจเป็นในส่วนของภาคเอกชนไทย ขณะที่ต่างชาติยังให้ความสนใจในการลงทุนเพิ่ม ส่วนกรณีที่ ครม.ขยายเวลามาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในประเทศอีก 1 ปีนั้นเป็นไปตามข้อเรียกร้องของภาคเอกชน ซึ่งต้องดูว่าจะมีการลงทุนจริงหรือไม่

รมว.คลัง กล่าวว่า กรณีที่สหรัฐฯ ประกาศถอนตัวออกจากความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (TPP) นั้นอาจส่งผลกระทบต่อการรวมกลุ่มดังกล่าว ขณะที่การเจรจาความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจในภูมิภาค (RCEP) อาจมีความโดดเด่นขึ้นมา และเป็นตัวนำในอนาคต

นายคณิศ แสงสุพรรณ กรรมการมูลนิธิสถาบันวิจัยเศรษฐกิจ กรรมการชี้นำยุทธศาสตร์และขับเคลื่อนการเพิ่มผลิตภาพ นวัตกรรม และมาตรฐานอุตสาหกรรม (SPRING Board) กล่าวในหัวข้อ "เขตเศรษฐกิจพิเศษ การเติบโตครั้งใหม่ของไทย"ว่า ในปัจจุบันพบว่าการพัฒนาเศรษฐกิจภาพรวมไม่ทำให้ประเทศเดินหน้าได้ จำเป็นต้องมีการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับพื้นที่เป็นการเร่งด่วน ซึ่งขณะนี้รัฐบาลได้ดำเนินนโยบายระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) จะทำให้ประเทศไทยสามารถก้าวกระโดดได้ และมองว่าโครงการนี้จะเกิดการลงทุน 1.5 ล้านล้านบาท ภายในระยะเวลา 5 ปี และส่งผลให้ GDP ขยายตัวได้ปีละ 5% ก่อให้เกิดการจ้างงานใหม่มากกว่า 100,000 อัตราต่อปี มีฐานภาษีใหม่ 1 แสนบาทต่อปี นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 10 ล้านคนต่อปี และลดต้นทุนการขนส่งได้ 4 แสนบาทต่อปี

ปัจจุบันโครงการ EEC ยังอยู่ระหว่างร่าง พ.ร.บ.เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ซึ่งคาดว่าจะเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และจะมีผลบังคับใช้ในช่วงกลางปี 2560 แต่ระหว่างนี้รัฐบาลได้ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ตั้งคณะทำงาน โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานขับเคลื่อนเรื่องนี้ โดยจะเริ่มการลงทุนภายในปีนี้

สำหรับโครงการดังกล่าวอยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัด ประกอบด้วย ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นเพื่อผลักดันไทยแลนด์ 4.0 แบบก้าวกระโดด ในโครงการดังกล่าวจะมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เช่น การสร้างสนามบินอู่ตะเภา, อุตสาหกรรมอากาศยาน, ท่าเรือพาณิชย์สัตหีบ, ท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3, ท่าเรือมาบตาพุด เฟส 3, รถไฟความเร็วสูง และมอเตอร์เวย์สายใหม่ พร้อมกับการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ใช้เทคโนโลยีสูง และเพื่อเป็นตัวอย่างสำหรับการพัฒนาพื้นที่อื่นๆ ในอนาคต เช่น ยานยนต์อัจฉริยะ, อิเล็กทรอนิกส์หุ่นยนต์และหุ่นยนต์, ปิโตรเคมีขั้นสูง และอุตสาหกรรมชีวภาพและอาหารแห่งอนาคต นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยในการพัฒนาการท่องเที่ยวและการสร้างเมืองใหม่ เพื่อรองรับนักลงทุนต่างประเทศที่จะเข้ามาอยู่ในประเทศไทยด้วย

ด้านนายสมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานกรรมการ บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้น จำกัด (APM) กล่าวในหัวข้อ "คลัสเตอร์ เชื่อมอาเซียน" ว่า การขยายกิจการเบื้องต้นนั้นให้มองเป็นการขยายกิจการในประเทศไทย 77 จังหวัด บวก 4 คือ ประเทศที่สามารถเดินทางในระยะเวลา 1 ชั่วโมง คือ เมียนมา ลาว กัมพูชา และเวียดนาม โดยให้มองในธุรกิจขนส่ง, สุขภาพและความงาม,ท่องเที่ยว, ต่อเรือและอู่ซ่อมเรือ รวมไปถึงวัสดุก่อสร้าง ซึ่งเป็นกิจการที่ประเทศไทยมีความเชี่ยวชาญ โดยเฉพาะในส่วนของวัสดุก่อสร้าง รับเหมาก่อสร้าง ที่ประเทศในกลุ่ม CLMV ยังมีความต้องการพัฒนาโครงการโครงสร้างพื้นฐานอีกมาก

อย่างไรก็ตาม การจะเข้าไปลงทุนนั้นขนาดของบริษัทนั้นต้องมีขนาดกลางขึ้นไป หรือมียอดขายไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท โดยต้องมีการปรับมาตรฐานทางบัญชีให้เป็นสากล ต่อมาคือการสร้างความไว้วางใจกับพันธมตรที่จะเข้าไปร่วมขยายกิจการร่วมกัน และสุดท้ายคิอต้องเป็นสินค้าหรือบริการที่ประเทศเหล่านั้นมีความต้องการ

"การที่เราจะขยายกิจการไปยังต่างประเทศ และสิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุดคือการขยายกิจการไปยัง CLMV และต่อไปคือกลุ่ม AEC เราต้องปรับกระบวนการคิดก่อนว่าการเดินทางไม่มีปัญหาในระยะการเดินทางเป็นเวลา 1-2 ชั่วโมงเป็นไปได้ ซึ่งจะทำให้เราเจรจากับพันธมิตรและมีโอการสในการทำธุรกิจในต่างประเทศมากขึ้น"นายสมภพ กล่าว

ทั้งนี้มองประเทศที่ขนาดเล็กก่อน เนื่องจากยังสามารถขยายได้อีกมาก และยังคงต้องการการลงทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มจากประเทศกัมพูชา ซึ่งเป็นประเทศที่มีลักษณะการประกอบธุรกิจที่ใกล้เคียงกับประเทศไทย และมีหลายๆอย่างที่น่าสนใจ ในขณะเดียวกันปัจจุบันทางรัฐบาลเองก็ได้มีการสนัลสนุนการลงทุนจากต่างประเทศ โดยการให้สิทธิประโยชน์ทางด่านภาษี ในหลายๆอุตสาหกรรมอีกด้วย

ถัดมาคือ สปป.ลาว ที่ปัจจุบันมีการลงทุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ถึง 12-13 โครงการ โดยเฉพาะในโครงการที่เป็นหลวงพระบางเมืองใหม่ ซึ่งมีการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษขนาด 2,400 ไร่ ห่างจากเมืองหลวงพระบาง 8 กิโลเมตร นอกจากนี้ยังจะมีโครงการรถไฟฟ้า ที่จะเชื่อมต่อประเทศจีน ผ่านหลวงพระบาง มายังเวียงจันทน์ และมาสิ้นสุดที่จังหวัดหนองคาย ของประเทศ ซึ่งจะก่อสร้างแล้สเสร็จในปี 62 จะช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยว วัสดุก่อสร้าง รับเหมาก่อสร้าง และอื่นๆอีกมาก

"การลงทุนที่เป็นขนาด SME นั้น เรามองการลงทุนในกัมพูชา และสปป.ลาว เป็นหลัก เพราะการจะไปบุกประเทศอื่นๆใน AEC ที่เป็นขนาดใหญ่แล้วคงยาก เพราะการลงทุนก็คงต้องเป็นขนาดใหญ่ตามไปด้วย การที่เป็นขนาดกลางก็ต้องไปหาประเทศที่มี GDP ไม่มากก่อน จึงจะสามารถเข้าไปลงทุนได้ง่าย"นายสมภพ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ