นายพิชิต อัคราทิตย์ รมช.คมนาคม กล่าวภายหลังตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายให้กับผู้บริหารองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ว่า ปัญหาที่สำคัญของ ขสมก.ในขณะนี้คือ ภาระหนี้สินสะสมที่มีประมาณ 1 แสนล้านบาท เนื่องจากมีรายได้ไม่สมดุลกับรายจ่าย โดยมีผลขาดทุนเฉลี่ย 4,000-5,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งจากสภาพการบริหารจัดการในปัจจุบันจะไม่สามารถอยู่ได้ในระยะยาว
ปัจจุบัน ขสมก.กำหนดค่าโดยสารต่ำกว่าต้นทุนจริง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ ขสมก.ขาดทุนทุกปี ซึ่งจะเป็นตัวเลขหนึ่งที่ต้องแจกแจงรายละเอียดให้ชัดเจนว่ามีจำนวนเท่าไร เนื่องจาก ขสมก.จะได้รับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ (PSO) จากรัฐบาลส่วนหนึ่ง และในระยะยาว ขสมก.จะต้องปรับตัวให้มีศักยภาพในการให้บริการที่มีคุณภาพมากขึ้น รวมถึงต้องหาตลาดใหม่ หาเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ ปรับการบริหารจัดการต้นทุน, บุคลากร
"ได้ให้ ขสมก.แบ่งแยกหนี้สินให้ชัดเจนว่า เกิดจากการบริหารงานของ ขสมก.เท่าไร และเกิดจากนโยบายรัฐบาลเท่าไร เพื่อพิจารณาแก้ไขให้เหมาะสมและยุติธรรม ซึ่งเมื่อแยกหนี้ได้ชัดเจนแล้วจะสามารถบริหารจัดการได้ ซึ่ง ขสมก.จำเป็นต้องปรับโครงสร้างหนี้โดยเร่งด่วน โดยจะต้องเร่งสรุปเพื่อเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ต่อไป
ในอนาคคต เมื่อมีการปฏิรูปรถเมล์ มีการแยกหน่วยกำกับดูแล (Regulator) ออกจากหน่วยปฎิบัติ (Operator) โดย ขสมก.จะเป็นผู้ให้บริการรายหนึ่ง ซึ่งต้องแข่งขันกับผู้ประกอบการเอกชน ต้องทำงานเหมือนเอกชน อนาคตอาจจำเป็นต้องปรับค่าโดยสารให้สมเหตุสมผล ซึ่งจะต้องมีการศึกษารายละเอียดให้รอบคอบและเป็นทางเลือกสุดท้าย" นายพิชิต กล่าว
ส่วนการจัดซื้อรถโดยสารปรับอากาศใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) จำนวน 489 คันรมช.คมนาคม กล่าวว่า ขณะนี้มีปัญหาในขั้นตอนตรวจรับรถ ซึ่งทุกอย่างต้องดำเนินการตามกฎหมาย ส่วนแผนจัดหารถเมล์ NGV จำนวน 3,183 คัน เป็นมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เดิม แต่การใช้งานมีการเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นอาจต้องมีการทบทวนแผนการจัดหารถใหม่ ส่วนการจัดซื้อรถโดยสารที่ใช้พลังงานไฟฟ้าจำนวน 200 คัน ซี่งขณะนี้ได้เสนอเรื่องไป ครม.แล้ว และอยู่ในกระบวนการพิจารณา แต่มีข้อสังเกตุ เนื่องจากรถเมล์ไฟฟ้าเป็นเทคโนโลยีใหม่ การใช้งานอาจจะมีผลกระทบหรือไม่ และสภาพของไทยมีความเหมาะสมแค่ไหน
ด้านนายสุระชัย เอี่ยมวชิรสกุล ผู้อำนวยการ ขสมก. คาดว่าจะทำแผนแยกต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆ รายงานต่อ รมช.คมนาคม ได้ภายใน 1 เดือน