(เพิ่มเติม) สถาบัน IMD เลื่อนอันดับความสามารถการแข่งขันของไทยปีนี้ขึ้นมาที่ 27 จาก 28 ปีก่อน

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday June 1, 2017 11:49 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย หรือ ทีเอ็มเอ (TMA) เผยผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศจาก World Competitiveness Center ของ International Institute for Management Development หรือ IMD สวิตเซอร์แลนด์ ประจำปี 2560 ประเทศไทยมีอันดับดีขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดยขยับขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 27 จาก 63 ประเทศทั่วโลก ซึ่งผลสำรวจฯ ในปี 2560 ฮ่องกงและสวิตเซอร์แลนด์ยังคงครองอันดับที่ 1และ 2 เช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา ในขณะที่สิงคโปร์เลื่อนขึ้นมาเป็นอันดับที่ 3 ทำให้สหรัฐอเมริกาตกไปเป็นอันดับที่ 4

ทั้งนี้ ในปี 60 ผลการจัดอันดับของไทยดีขึ้นทั้งโดยคะแนนและอันดับ โดยคะแนนภาพรวมในปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 80.095 เปรียบเทียบกับ 74.681 ในปี 59 และมีอันดับเลื่อนขึ้นจาก 28 ในปี 59 เป็น 27 ในปี 60 ในขณะที่เมื่อเปรียบเทียบกับ 5 ประเทศอาเซียนที่อยู่ในการจัดอันดับนี้ ซึ่งได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซียแล้ว ไทยยังคงอยู่ในอันดับที่ 3 รองจากสิงคโปร์และมาเลเซีย โดยไทย ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียมีอันดับดีขึ้น ในขณะที่มาเลเซียมีอันดับลดต่ำลง

เมื่อพิจารณาคะแนนที่ประเทศไทยได้รับ ในระยะตั้งแต่ปี 56-60 จะเห็นได้ว่ามีคะแนนสูงขึ้นมาโดยตลอดนับตั้งแต่ปี 57 เป็นต้นมา และเริ่มมีแนวโน้มสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยของทุกประเทศที่ได้รับการจัดอันดับตั้งแต่ปี 58 โดยในปี 60 ประเทศไทยมีคะแนน 80.095 ในขณะที่คะแนนเฉลี่ยของ 63 ประเทศที่ได้รับการจัดอันดับเท่ากับ 77.033 อันแสดงให้เห็นว่าความพยายามของรัฐบาลและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้เริ่มส่งผล ซึ่งหากมีการเร่งดำเนินการขับเคลื่อนอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง จะทำให้ประเทศไทยมีอันดับความสามารถที่สูงขึ้นจนเป็นหนึ่งในประเทศชั้นนำได้อย่างแน่นอน

นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานคณะอนุกรรมการด้านการจัดการข้อมูลและการสื่อสารประชาสัมพันธ์ และ ที่ปรึกษา TMA และในฐานะประธานคณะอนุกรรมการด้านการจัดการข้อมูลและสื่อสารประชาสัมพันธ์ คณะกรรมการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (กพข.) เปิดเผยว่า การที่ผลการจัดอันดับในปีนี้ดีขึ้นทั้งคะแนนและอันดับ โดยเป็นปีแรกที่มีคะแนนรวมเกินกว่า 80 คะแนนและสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยรวมของทุกประเทศ เป็นการยืนยันว่าการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศเป็นสิ่งที่ทั้งรัฐและเอกชนต้องมีจุดหมายร่วมกันและลงมือขับเคลื่อนไปพร้อมกัน ซึ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทั้งภาครัฐและเอกชนได้ร่วมมือกันผลักดันและสร้างความเปลี่ยนแปลงในประเด็นสำคัญๆ ที่เป็นฐานสำหรับการพัฒนาประเทศในระยะยาวไปหลายเรื่อง ผลการจัดอันดับทำให้เห็นว่าเรามาถูกทางแล้วและจะต้องพยายามร่วมมือกันต่อไป

“ถึงแม้ว่าเราจะมีอันดับที่ดีขึ้นในปีนี้ แต่ประเทศอื่นๆ ในโลกต่างก็เร่งพัฒนาตนเองไปเช่นเดียวกับเรา เพราะฉะนั้นเราจะต้องพยายามทำให้มากขึ้นและเร็วขึ้น โดยประเด็นท้าทายที่เราต้องขับเคลื่อนให้ก้าวหน้าไปให้ได้ คือการพัฒนาคนให้มีความรู้เหมาะสมกับโลกยุคใหม่ และการสร้างองค์ความรู้และนวัตกรรมเพื่อสร้างความเข้มแข็งทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคม"นายเทวินทร์ กล่าวต่อ

ในการจัดอันดับฯ ของ IMD มีการพิจารณา 4 ด้าน คือ สภาวะเศรษฐกิจ (Economic Performance) ประสิทธิภาพของภาครัฐ (Government Efficiency) ประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ (Business Efficiency) และโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ปรากฏว่า ปัจจัยที่ไทยมีอันดับดีที่สุดคือ สภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 10 จาก 63 ประเทศ โดยมีอันดับดีขึ้นถึง 3 อันดับจากปี 2559 ในขณะที่ปัจจัยด้านประสิทธิภาพของภาครัฐมีอันดับดีขึ้น 3 อันดับเช่นเดียวกัน ทำให้อยู่ในอันดับที่ 20 ในปีนี้ส่วนปัจจัยด้านประสิทธิภาพของภาคธุรกิจและโครงสร้างพื้นฐานมีอันดับคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง โดยมีอันดับที่ 25 และ 49 ตามลำดับในปี 2560

ด้านนางปัทมา เธียรวิศิษฎ์สกุล รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า ผลการจัดอันดับชี้ว่าสมรรถนะทางเศรษฐกิจและประสิทธิภาพของภาครัฐอันดับดีขึ้นถึง 3 อันดับ สะท้อนให้เห็นถึงสภาวะเศรษฐกิจระดับมหภาคที่ส่งสัญญาณดีขึ้น และการปรับปรุงในด้านกฎระเบียบและกฎหมายธุรกิจที่ส่งผลดีให้ดำเนินธุรกิจมีความสะดวกและคล่องตัวมากขึ้น อาทิ การเริ่มต้นดำเนินธุรกิจ การดำเนินการด้านศุลกากรสำหรับการค้าขายข้ามพรมแดน นักธุรกิจจึงมีความเชื่อมั่นต่อประสิทธิภาพการให้บริการภาครัฐที่เอื้อต่อการทำธุรกิจของภาคเอกชนมากขึ้น รวมทั้งมีความเชื่อมั่นต่อความสามารถในการบริหารจัดการนโยบายของรัฐบาลมากขึ้นเช่นเดียวกัน

โดยสรุปแล้ว ผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศในปีนี้สะท้อนให้เห็นว่า ทั้งภาครัฐและเอกชนมีความเข้าใจและการขับเคลื่อนเพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาวเริ่มปรากฎผลเป็นรูปธรรมมากขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะในภาครัฐ ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ IMD ที่ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับประเทศที่มีพัฒนาการสูงขึ้นมากในปีนี้ว่าล้วนเป็นผลมาจากการปรับปรุงประสิทธิภาพของภาครัฐและภาคเอกชน และการเพิ่มผลิตภาพของประเทศ

นอกจากนั้น เพื่อให้การขับเคลื่อนนี้เดินหน้าไปอย่างต่อเนื่องและประเทศไทยมีอันดับความสามารถในการแข่งขันที่ดีขึ้น รัฐบาลได้มอบหมายให้มีหน่วยงานเจ้าภาพรับผิดชอบตัวชี้วัดแต่ละตัวอย่างชัดเจน ในช่วงต่อไปหน่วยงานเหล่านี้จะต้องทำงานร่วมกับสศช. TMA และสำนักงานสถิติแห่งชาติ ให้มีการปรับปรุงระบบข้อมูลตัวชี้วัดให้ครบถ้วน ถูกต้อง และแม่นยำมากขึ้น พร้อมทั้งมีข้อเสนอแนะแผนงาน/โครงการ/มาตรการที่ชัดเจน สำหรับการปรับปรุงตัวชี้วัดความสามารถในการแข่งขันทุกมิติ และที่สำคัญคือการที่รัฐบาลขับเคลื่อนการดำเนินแผนงานเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในทุกด้าน รวมทั้งในเรื่องพัฒนาคนไทยให้มีคุณภาพสูงขึ้น

ทั้งนี้ สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) จะมีการจัดสัมมนา “Thailand Competitiveness Enhancement Program: Reinforcing the Foundation for Competitiveness" ในวันที่ 20 – 21 กรกฎาคม 2560 เพื่อมุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการสร้างความสามารถในการแข่งขันภายใต้สภาพแวดล้อมของโลกยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และการสร้างรากฐานเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ