ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 33.25/26 เคลื่อนไหวกรอบแคบ มองทิศทางพรุ่งนี้ที่ 33.20-33.30

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday August 9, 2017 17:28 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ระดับ 33.25/26 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่า เล็กน้อยจากช่วงเช้าที่เปิดตลาดที่ระดับ 33.28/30 บาท/ดอลลาร์

เงินบาทยังเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบ เพราะวันนี้ไม่มีปัจจัยสำคัญที่จะมีผลต่อตลาดมากนัก โดยระหว่างวันเงินบาทแข็ง ค่าสุดที่ระดับ 33.24 บาท/ดอลลาร์ และอ่อนค่าสุดที่ระดับ 33.30 บาท/ดอลลาร์

"วันนี้บาทเคลื่อนไหวแคบๆ ไม่ค่อยมีปัจจัยสำคัญอะไรมาก" นักบริหารเงินระบุ

นักบริหารเงิน คาดว่า พรุ่งนี้เงินบาทจะยังเคลื่อนไหวในกรอบแคบที่ 33.20 - 33.30 บาท/ดอลลาร์

  • ปัจจัยสำคัญ
  • เงินเยนอยู่ที่ระดับ 109.76/80เยน/ดอลลาร์ จากช่วงเช้าที่ระดับ 109.84/85 เยน/ดอลลาร์
  • ส่วนเงินยูโรเย็นนี้อยู่ที่ระดับ 1.1740/1744 ดอลลาร์/ยูโร จากช่วงเช้าที่ระดับ 1.1734/1737 ดอลลาร์/ยูโร
  • ดัชนี SET ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,571.51 จุด ลดลง 5.93 จุด (-0.38%) มูลค่าการซื้อขาย 34,898 ล้านบาท
  • สรุปปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม ต่างชาติซื้อสุทธิ 851.85 ลบ.(SET+MAI)
  • กระทรวงการคลัง เตรียมเสนอคณะรัฐมนตรีภายใน 2-3 สัปดาห์ ในเรื่องการให้สวัสดิการผู้มีรายได้น้อย ตาม
โครงการลงทะเบียนเพื่อรับสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2560 ซึ่งจะเริ่มแจกได้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.60 ทั้งนี้มีประชาชนผู้มีรายได้น้อยมาลง
ทะเบียนไว้ 14.1 ล้านคน และล่าสุดจากการตรวจสอบคุณสมบัติแล้วพบว่าผ่านเกณฑ์ประมาณ 11 ล้านคน ซึ่งผู้ลงทะเบียนแต่ไม่ผ่าน
คุณสมบัติ เนื่องจากมีรายได้เกินกำหนดไว้ที่ 1 แสนบาท/ปี
  • สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) รายงานหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้น มิ.ย.60 คิดเป็น 41.54% ของ GDP
ลดลงจากสิ้น พ.ค.60 ซึ่งอยู่ที่ 42.90% ของ GDP โดยหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้น มิ.ย.60 มีจำนวน 6,185,431.38 ล้านบาท
แบ่งเป็น หนี้รัฐบาล 4,759,892.16 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจ 967,318.90 ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาล
ค้ำประกัน) 441,735.78 ล้านบาท และหนี้หน่วยงานของรัฐ 16,484.54 ล้านบาท และเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้า (พ.
ค.60) หนี้สาธารณะคงค้างลดลงสุทธิ 162,393 ล้านบาท
  • ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี ธนาคารทหารไทย (TMB) เล็งปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 3.3-
3.7% จากเดิมที่ 3.3% เนื่องจากพบว่าในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวขยายตัวได้ดีกว่าที่คาดไว้ โดย
เฉพาะการส่งออกในช่วงครึ่งปีแรก เติบโตถึง 7% จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจต่างประเทศ ซึ่งธนาคารจะพิจารณาปรับประมาณการ
ตัวเลขการส่งออกในปีนี้ใหม่เป็น 4-5% จากเดิมที่ 3.7% ในขณะที่การท่องเที่ยวยังได้รับอานิสงค์จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทาง
เข้าไทยมากขึ้น ซึ่งทั้ง 2 ปัจจัยหลักนี้ช่วยหนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในภาพรวมได้เป็นอย่างดี
  • ลิ้งค์เลเทอร์ส แอลแอลพี บริษัทกฎหมายระหว่างประเทศ เปิดเผยรายงานที่คาดการณ์ว่าการลงทุนในต่างประเทศ
ของจีนอาจแตะที่ระดับ 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ในอีก 10 ปีข้างหน้า อันเนื่องมาจากนโยบายของรัฐบาลจีนที่สนับสนุนการลงทุนในต่าง
ประเทศ

การลงทุนในต่างประเทศและการซื้อกิจการจะยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจจีนในช่วงหลายปีต่อจากนี้ โดย นโยบายและยุทธศาสตร์ระยะยาวของรัฐบาล อาทิเช่น "Made in China 2025" และ "Belt and Road Initiative" มุ่ง สนับสนุนการลงทุนในต่างประเทศเป็นสำคัญ

  • รายงานจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์กระบุว่า บริษัทสตาร์ทอัพของสหรัฐมีแนวโน้มที่จะประสบปัญหา
ทางการเงินมากกว่าบริษัทที่เติบโตเต็มที่แล้ว ถึงแม้ว่าบริษัทสตาร์ทอัพจะมีส่วนช่วยหนุนให้เกิดอัตราการจ้างงานในสหรัฐมากขึ้นก็ตาม
  • นักลงทุนจับตาถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หลายคนในสัปดาห์นี้ เพื่อจับสัญญาณเกี่ยวกับกรอบ
เวลาที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไป เนื่องจากล่าสุดนายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟด สาขาเซนต์หลุยส์ ได้กล่าวว่า เฟด
สามารถชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อไม่มีแนวโน้มที่จะพุ่งขึ้นมาก หากตลาดแรงงานสหรัฐยังคงมีการปรับตัว
ดีขึ้น
  • สหรัฐฯ จะมีการรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญในสัปดาห์นี้ เช่น ผลิตภาพ-ต้นทุนแรงงานต่อหน่วยเบื้องต้นไตรมาส

2/2560, สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนมิ.ย., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนก.

ค. และดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนก.ค.


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ