(เพิ่มเติม) "สมคิด"ระบุเป้าส่งออกปีนี้ 6% ถือเป็นขั้นต่ำ ย้ำพาณิชย์ทำให้ดีที่สุด

ข่าวเศรษฐกิจ Monday August 28, 2017 15:01 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการประชุมมอบนโยบายและติดตามงานกับผู้บริหารระดับสูงกระทรวงพาณิชย์ว่า ไม่ได้กำหนดเป้าหมายส่งออกในปีนี้ที่ 8% โดยวันนี้กระทรวงพาณิชย์ได้นำเสนอตัวเลขการส่งออกที่วางเป้าหมายไว้ที่ 6% ซึ่งตนเองพอใจกับการทำงานของข้าราชการกระทรวงพาณิชย์ และได้กำชับให้พยายามผลักดันตัวเลขส่งออกให้ดีที่สุด ซึ่งเป้าหมายที่ 6% ให้ถือเป็นเป้าหมายขั้นต่ำ

"ทางกระทรวงฯ ได้นำเสนอตัวเลขการส่งออก ซึ่งผลที่ผ่านมาเป็นที่น่าพอใจ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศมั่นใจว่าไปได้ดี เปอร์เซนต์ที่ตั้งไว้ก็คุยกันไว้ที่ 6% ให้ถือเป็นขั้นต่ำ เพราะว่านโยบายผมคือทำให้ดีที่สุด...ผมไม่ได้บอกว่าต้องได้เท่าไร แต่ทำให้ดีที่สุด และเราจะไม่อยู่เฉยๆ" นายสมคิด กล่าว

พร้อมยืนยันว่า ในการมอบนโยบายวันนี้ไม่ได้มีการระบุเป้าหมายที่ชัดเจนว่าจะต้องทำให้ส่งออกปีนี้โตได้ถึง 8% เพียงแต่ฝากให้กระทรวงพาณิชย์วางแผนการส่งออกในช่วงเวลาแต่ละเดือนที่เหลือว่าควรจะโตได้เท่าไร นอกจากนี้ยังได้สั่งการให้กระทรวงฯ เดินหน้าหาตลาดใหม่ๆ โดยเฉพาะตลาดที่ภาคเอกชนเคยไปเจรจาการค้าไว้ เช่น ประเทศจีน ที่จะต้องเตรียมพร้อมเรื่องยุทธศาสตร์การค้าว่าจะทำอย่างไรในการเจาะตลาดในเส้นทางสายไหม โดยเฉพาะในมณฑลตอนใต้ของจีน หรือในประเทศอื่นๆ ทั้งอินเดีย ฮ่องกง และไต้หวัน เป็นต้น

รองนายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า แม้ว่าการส่งออกของไทยจะเริ่มดีขึ้น แต่จำเป็นต้องมีการทำตลาดให้กว้างมากขึ้น โดยเฉพาะการค้าขายผ่านช่องทางออนไลน์ หรืออี-คอมเมิร์ซ ซึ่งได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์เร่งขยายตลาดอีคอมเมิรซ์ เพื่อให้เป็นช่องทางให้กับกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ให้มีตลาดซื้อขายสินค้าเพิ่มมากขึ้น และเพิ่มความสะดวกมากขึ้น เป็นการขยายตลาดสินค้าในวงกว้าง ซึ่งฝากให้กระทรวงพาณิชย์เร่งดำเนินการและต้องให้แล้วเสร็จภายใน 2-3 เดือนนี้

พร้อมกันนี้ นายสมคิด ได้มอบนโยบายให้กระทรวงพาณิชย์จัดทำดัชนีภาคบริการ ซึ่งพบว่ารายได้ของภาคบริการเพิ่มมากขึ้น แต่ยังไม่มีการรวบรวมตัวเลขที่ชัดเจน จึงอยากให้มีการดำเนินการ เพื่อที่จะสามารถกำหนดยุทธศาตร์ภาคบริการได้ตรงจุด และต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 2 เดือนนี้เช่นกัน

นายสมคิด ยังได้สั่งการให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมมือกับกระทรวงการคลัง ในมาตรการประชารัฐสวัสดิการที่เตรียมจะเสนอสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ ซึ่งมาตรการดังกล่าวรัฐบาลจะแจกบัตรสวัสดิการ 1 ใบ เพื่อเติมเงินในบัตรเป็นรายเดือนให้กับผู้มีรายได้น้อยนำไปใช้จ่ายซื้อสินค้าในร้านธงฟ้าประชารัฐที่รัฐบาลเตรียมจัดไว้ให้

โดยได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์จัดเตรียมจุดจำหน่ายสินค้า และสินค้าที่จำเป็นในการเข้าร่วมกับโครงการนี้ให้พร้อม ซึ่งสินค้าที่จำหน่ายจะต้องมีราคาต่ำกว่าต้นทุน ส่วนจุดจำหน่ายจะขายสินค้าผ่านร้านธงฟ้าประชารัฐ และร้านค้าที่กระทรวงพาณิชย์ให้การสนับสนุน และฝากให้กระทรวงประสานกับร้านโชห่วยด้วย เพื่อช่วยกระจายสินค้าให้แก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อยได้อย่างทั่วถึง โดยคาดว่าบัตรสวัสดิการน่าจะแจกได้ในเดือนตุลาคมนี้

นายสมคิด กล่าวด้วยว่า หลังจากที่ได้หารือกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ในช่วงที่ผ่านมา ได้สั่งการให้บีโอไอหามาตรการในการส่งเสริมสินค้าเกษตร โดยเฉพาะการแปรรูปสินค้า เน้นการเพิ่มมูลค่าสินค้า เนื่องจากพบว่าสินค้าเกษตรมีกำไรสูง ซึ่งจะช่วยให้เกษตรกรมีรายไดที่สูงขึ้น ซึ่งต้องการให้กระทรวงพาณิชย์เข้ามาช่วยในการจัดหาช่องทางการจัดจำหน่าย ด้านโลจิสติกส์ และเปิดประตูสินค้าไปต่างประเทศมากขึ้น

ด้านนางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ ระบุว่า การส่งออกของไทยปีนี้ยังมีโอกาสที่จะเติบโตได้ถึงระดับ 7% เนื่องจากมองว่าสถานการณ์การส่งออกในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-ก.ค.60) ของไทยมีการเติบโตได้ดีทั้งในแง่ของรายสินค้า และรายตลาด ขณะเดียวกันแนวโน้มการส่งออกในช่วงที่เหลืออีก 5 เดือนของปีนี้ (ส.ค.-ธ.ค.) ก็ยังมีทิศทางที่ดีต่อเนื่อง ดังนั้นมูลค่าการส่งออกในแต่ละเดือนที่เหลือหากทำได้ในระดับ 19,000 ล้านดอลลาร์ ก็มีโอกาสที่ทั้งปีนี้การส่งออกจะเติบโตได้ถึงระดับ 7%

สำหรับการทำตลาดหลังจากนี้ กระทรวงพาณิชย์จะเน้นตลาดแบบเจาะเมืองใหญ่และเมืองหลักมากขึ้น ทั้งจีน อินเดีย แอฟริกา ลาตินอเมริกา เป็นต้น และจะพยายามผลักดันความร่วมมือทางด้านการค้ากับประเทศต่างๆ ซึ่งในช่วงเดือนกันยายนนี้จะมีคณะนักธุรกิจบริษัทใหญ่ๆ ในประเทศญี่ปุ่นเดินทางมาไทยเพื่อมาหารือด้านการค้า การลงทุน ซึ่งจะได้มีโอกาสพูดคุยกับนักธุรกิจไทยทั้งรายเล็กและรายใหญ่ด้วย

ส่วนการทำดัชนีภาคบริการนั้น เชื่อว่า กระทรวงพาณิชย์สามารถจัดทำได้ภายใน 2 เดือน ตามที่รองนายกรัฐมนตรีได้สั่งการไว้ เพราะได้เก็บข้อมูลมาระยะหนึ่งแล้ว

ด้านนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมช.พาณิชย์ กล่าวถึงความพร้อมในการดำเนินนโยบายประชารัฐสวัสดิการว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการให้กระทรวงการคลังมีการกำหนดเงื่อนไขวงเงิน และกลุ่มสินค้าที่จะให้สวัสดิการกับให้ผู้มีรายได้น้อย โดยกระทรวงพาณิชย์จะทำหน้าที่ในการหาจัดจุดขายสินค้า และจัดสินค้าตามนโยบายที่กำหนด เพื่อรองรับผู้มีรายได้น้อยประมาณ 11.67 ล้านคนที่ได้ลงทะเบียนและผ่านเกณฑ์ในการเข้าโครงการดังกล่าว

ทั้งนี้ ช่องทางการจัดจำหน่ายจะดำเนินการผ่านร้านค้าประชารัฐ ทั้งในส่วนร้านธงฟ้า ร้านโชห่วย และร้านค้าชุมชน ซึ่งยอมรับว่าในช่วงแรกอาจยังไม่สามารถดำนเนินการได้ครอบคลุมทุกพื้นที่ แต่จะพยายามเดินหน้าให้มากที่สุด โดยจะคิดคำนวณการวางจุดจำหน่ายสินค้าจากฐานข้อมูลของผู้มาลงทะเบียนไว้ เพื่อเพิ่มความสะดวกในการมาซื้อสินค้าให้มากที่สุด


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ