"สุวิทย์"มอบนโยบายสำนักงานกองทุนหมู่บ้านฯ มุ่งพัฒนายกระดับ-เพิ่มความเข้มแข็งเศรษฐกิจฐานราก

ข่าวเศรษฐกิจ Monday August 28, 2017 16:00 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ กล่าวว่า ได้มอบนโยบายและกรอบการดำเนินงานในระยะต่อไปให้ผู้บริหารสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (สทบ.) โดยการพัฒนาศักยภาพและความเข้มแข็งของ กทบ.และสมาชิกฯ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนกองทุนหมู่บ้านฯ สร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจฐานราก พัฒนาหมู่บ้าน 4.0 สู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) โดยส่งเสริมชาวบ้านประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับพื้นที่ในการพัฒนาหมู่บ้านให้เข้มแข็ง ผ่านกลไกของกองทุนหมู่บ้าน

เนื่องจากการก้าวสู่อนาคตหมู่บ้าน 4.0 ต้องมองถึงความยั่งยืน (SDGs) ตามแนวทางสหประชาชาติ และศาสตร์พระราชา สทบ.ต้องมุ่งพัฒนายกระดับกองทุนหมู่บ้านฯ ซึ่งปัจจุบันแบ่งเป็น A, B, C, D ให้มีมาตรฐานสูงขึ้น เปลี่ยนหนี้นอกระบบให้เป็นหนี้ในระบบ เป็นหนี้ที่ดีมีอนาคต และก่อให้เกิดประโยชน์และความมั่นคงทางชุมชนอย่างแท้จริง

พร้อมทั้งศึกษาการจัดตั้งกองทุนชารีอะห์ โดยประสานกับคณะกรรมการอิสลามแห่งประเทศไทย เพื่อจัดตั้งกองทุนได้ถูกต้องหลักศาสนาอิสลามอยู่ภายใต้กองทุนหมู่บ้านฯ เน้นพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้และเมืองใหญ่ โดยกองทุนชารีอะห์จะทำให้มีจำนวนสมาชิกกองทุนหมู่บ้านฯ เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 300,000 คน

ในด้านการบริหารจัดการต้องปรับกองทุนหมู่บ้านฯ ให้สอดรับกับยุทธศาสตร์ชาติ จากเดิมที่แบ่งพื้นที่ 4 ภาค มาเป็น 6 ภาค และปรับปรุงกลุ่มจังหวัดจากเดิม 13 กลุ่ม มาเป็น 18 กลุ่มจังหวัด นอกจากนี้ให้ศึกษาการตั้งศูนย์ปฏิบัติการจังหวัดของกองทุนหมู่บ้านฯ มีสำนักงานเป็นของตนเองเพื่อประสิทธิภาพของการดำเนินงานที่ชัดเจน

นายสุวิทย์ กล่าวว่า การติดอาวุธทางปัญญาให้กองทุนหมู่บ้านฯ จะเริ่มดำเนินการพัฒนาศักยภาพ 4 ด้าน คือ ด้านกฎหมายได้จัดสัมมนาอบรมด้านกฎหมายร่วมกับสำนักงานอัยการ เมื่อวันที่ 15-18 ส.ค.ที่ผ่านมา

ในด้านการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ กองทุนหมู่บ้านฯ ร่วมมือกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สร้างหลักสูตรพัฒนาผู้นำต้องมีความรู้ในเรื่องอินเทอร์เน็ต สามารถการเปลี่ยนแปลงสู่หมู่บ้านยุคใหม่ และทำแอพพลิชันเพื่อเป็นศูนย์กลางข้อมูลกองทุนหมู่บ้านฯ และโฆษกหมู่บ้านสามารถใช้แอพพลิเคชั่นเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในแต่ละหมู่บ้าน

ในด้านพัฒนาการเงินนั้นได้ร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในการฝึกอบรมพัฒนายกระดับกองทุนหมู่บ้านฯ รวมเป็นสถาบันการเงินชุมชนที่ให้บริการแก่สมาชิกได้มีประสิทธิภาพ

ส่วนด้านการพัฒนาจัดการธุรกิจ กทบ.ได้รับความร่วมมือจากกระทรวงพาณิชย์ เพื่อให้บริการสมาชิกหรือประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ แก้ปัญหาเรื่องหนี้นอกระบบ เสริมสร้างกองทุนหมู่บ้านเป็นชุมชนการออม และด้านการสื่อสารและภาษาร่วมมือกับสำนักงานราชบัณฑิตยสภา นอกจากนี้ ยังมอบหมายให้ สทบ.ทบทวนพิจารณานำเงินที่เหลืออยู่เกือบ 3,000 ล้านบาท กล่าวคือจากกองทุนพัฒนาหมู่บ้านและชุมชน (SML) กว่า 1,400 ล้านบาท และกองทุนพัฒนาเมืองอีกประมาณ 1,500 ล้านบาท มาใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด

ด้านนายนายนที ขลิบทอง ผู้อำนวยการ สทบ. กล่าวว่า ปัจจุบันมีการจัดตั้งกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองทั่วประเทศตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีจำนวน 79,595 กองทุน และมีสมาชิกกองทุน 12,827,938 คน ในจำนวนนี้เป็นกองทุนที่เกิดขึ้นใหม่ของรัฐบาลปัจจุบันจำนวน 340 กองทุน และตาม พ.ร.บ.กองทุนหมู่บ้านฯ พ.ศ.2547 มีการจัดตั้งขึ้นจำนวน 1,582 กองทุน ซึ่งจะเป็นนิติบุคคล ดังนั้นกองทุนใหม่จึงเป็นนิติบุคลทันที ปัจจุบันมีกองทุนที่ยังไม่เป็นนิติบุคคล แต่อยูในกระบวนการเร่งรัดให้จดกองทุนนิติบุคคลจำนวน 2,060 กองทุน เพื่อไม่ให้กองทุนเหล่านั้นเสียโอกาสความก้าวหน้าในการดำเนินงานกองทุน ปัจจุบันกองทุนหมู่บ้านฯ มีเงินหมุนเวียนกว่า 3 แสนล้านบาท โดยการดำเนินงาน 90% ของจำนวนกองทุนหมู่บ้านฯ มีผลการดำเนินการอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ส่วนที่มีปัญหามีเพียง 10% ซึ่งนับว่าเป็นสัดส่วนที่น้อยมากและมีการติดตามเร่งแก้ไข

สำหรับแผนงานและเป้าหมายการดำเนินงานของ กทบ.ในระยะต่อไปจะดำเนินการประเมินผลกองทุนหมู่บ้านฯ แยกเป็น A B C D และ E ให้แล้วเสร็จประมาณปลายเดือน ส.ค.60 ในด้านบริการสมาชิกและประชาชน แก้ปัญหาหนี้นอกระบบ จัดการสวัสดิการชุมชน และช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยในกรุงเทพมหานครฯในงบประมาณ 1,300 ล้านบาท รวมถึงการจัดการน้ำ ด้านการพัฒนาหมู่บ้านและชุมชน จะส่งเสริมพัฒนาให้เป็นหมู่บ้านท่องเที่ยว หมู่บ้านพัฒนาตัวอย่าง เสริมสร้างอาสาประชารัฐ ทำหน้าที่โฆษกชุมชนเพื่อประสานงานและประชาสัมพันธ์แต่ละหมู่บ้าน และวางแผนพัฒนาชุมชนภาคประชาชน

ส่วนด้านการขับเคลื่อนโครงการเพิ่มความเข้มแข็งเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐในปี 2559 ตามงบประมาณ 35,000 ล้าน และในปี 2560 รัฐบาลได้เสริมงบประมาณเพื่อเพิ่มศักยภาพอีก 15,000 ล้านบาทนั้นจะเร่งยกระดับต้นแบบร้านค้าประชารัฐ จำนวน 19,270 ร้าน ตลาดประชารัฐ 1,300 แห่ง สินค้าน้ำดื่มประชารัฐ 11,000 แห่ง จัดสัมนาประชารัฐและอาสาประชารัฐ สร้างเว็บไซต์ประชารัฐ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ