คลัง เตรียมเสนอใช้ ม.44 ออก กม.สตาร์ทอัพ ยกเว้น Capital Gain Tax จูงใจนักลงทุน

ข่าวเศรษฐกิจ Monday September 4, 2017 15:58 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายพันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ ในฐานะกรรมการคณะกรรมการส่งเสริมรัฐวิสาหกิจเริ่มต้น (สตาร์ทอัพ) แห่งชาติที่มีนายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธาน เปิดเผยว่า ที่ประชุมเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติ โดยจะเสนอให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ใช้อำนาจพิเศษตามมาตรา 44 ออกกฎหมายเพื่อใช้สนับสนุนผู้ประกอบการสตาร์ทอัพได้อย่างรวดเร็วภายในปีนี้ และคาดว่ากฎหมายจะมีผลบังคับใช้ได้ในต้นปี 61

สำหรับสาระสำคัญของกฎหมายจะมีการให้สิทธิพิเศษทางภาษีเพิ่มเติม โดยเสนอให้มีการยกเว้นภาษีเงินได้จากส่วนต่างการขายหุ้น (Capital Gain) เป็นเวลานาน 5-10 ปี เพื่อจูงใจให้นักลงทุนไทยและต่างประเทศเข้ามาลงทุนในสตาร์ทอัพมากขึ้น

นายพันธุ์อาจ กล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐบาลได้ให้สิทธิพิเศษทางภาษีกับสตาร์อัพ โดยการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 5 ปี และยกเว้นภาษีเงินได้ของกองทุนร่วมทุน (VC) เป็นเวลา 10 ปี อย่างไรก็ตาม โดยธรรมชาติของธุรกิจเกิดใหม่ การดำเนินการในช่วง 1-2 ปีแรกจะมีผลขาดทุน ทำให้เจ้าของกิจการไม่ได้ประโยชน์จากสิทธิประโยชน์จากภาษีนี้เต็มที่มากนัก ซึ่งการเพิ่มสิทธิประโยชน์ทางภาษี Capital Gain จะทำให้เจ้าของกิจการรวมถึงผู้ร่วมลงทุนได้รับประโยชน์จากภาษีมากขึ้น

นอกจากนี้ สาระสำคัญของกฎหมาย ยังมีการตั้งคณะกรรมการส่งเริมวิสาหกิจเริ่มต้นแห่งชาติ มีนายกรัฐมนตรีประธาน เพื่อกำหนดนโยบายของการสนับสนุนสตาร์ทอัพให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากเป็นการรวมกฎหมายของหลายกระทรวง ขณะเดียวกัน ยังมีการจัดตั้งศูนย์ทดสอบและนวัตกรรมสำหรับธุรกิจสตาร์ทอัพใหม่ที่ยังไม่ได้รับอนุญาตและไม่มีกฎหมายรองรับให้ดำเนินกิจการในประเทศไทย ให้เข้ามาใช้ศูนย์นี้ทดสอบการทำธุรกิจ ก่อนที่จะได้รับพิจารณาความเหมาะสมให้มีการดำเนินการถูกต้องในกฎหมายต่อไป

ปัจจุบัน ประเทศไทยมีผู้ประกอบการสตาร์ทอัพจดทะเบียนและดำเนินการ 1,500 ราย ในจำนวนนี้เป็นสตาร์ทอัพ VC จำนวน 500 ราย และยังมีธุรกิจสตาร์ทอัพอีก 8,500 รายที่ยังไม่ได้จดทะเบียน ซึ่งหากกฎหมายดังกล่าวมีผลบังคับใช้ คาดว่าจะจูงใจให้ผู้ประกอบการกลุ่มนี้จดทะเบียนดำเนินธุรกิจเพิ่มมากขึ้น และจะสามารถดึงเงินจากนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพมากขึ้น จากปัจจุบันมีเงินลงทุนทั้งเอกชนและภาครัฐ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นเป็น 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐหลังกฎหมายบังคับใช้

ทั้งนี้ กฎหมายดังกล่าวจะประกอบด้วย 4 หมวด คือ หมวดที่ 1 นิยามของสตาร์ทอัพ คือ กิจการที่จดทะเบียนไม่เกิน 60 เดือน หรือ 5 ปี ต้องทำธุรกิจที่มีนวัตกรรม มีการวิจัยและพัฒนา, หมวดที่ 2 คณะกรรมการ, หมวดที่ 3 สิทธิประโยชน์ และหมวดที่ 4 โครงการตั้งศูนย์ทดสอบธุรกิจสตาร์ทอัพ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ