น.ส.บรรจงจิตต์ อังศุสิงห์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยถึงการจดทะเบียนธุรกิจในเดือน ส.ค.60 พบว่า มีผู้ประกอบธุรกิจยื่นขอจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนบริษัทจัดตั้งใหม่จำนวน 7,159 ราย เมื่อเทียบกับเดือนก.ค.60 ซึ่งมีจำนวน 5,979 ราย เพิ่มขึ้นจำนวน 1,180 ราย คิดเป็น 20% และเมื่อเทียบกับเดือนส.ค.59 ซึ่งมีจำนวน 6,200 ราย เพิ่มขึ้น 959 ราย คิดเป็น 15%
มูลค่าทุนจดทะเบียนจัดตั้งใหม่ในเดือนส.ค.60 มีจำนวนทั้งสิ้น 47,354 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26,096 ล้านบาท คิดเป็น 123% เมื่อเทียบกับเดือนก.ค.60 ซึ่งมีจำนวน 21,258 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นจำนวน 27,993 ล้านบาท คิดเป็น 145% เมื่อเทียบกับเดือนส.ค.59 ซึ่งมีจำนวน 19,361 ล้านบาท
โดยประเภทธุรกิจที่มีการประกอบธุรกิจใหม่สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 621 ราย รองลงมา คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 394 ราย, ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร จำนวน 218 ราย, ธุรกิจการขนส่งสินค้ารวมถึงคนโดยสาร จำนวน 142 ราย และธุรกิจให้คำปรึกษาด้านการจัดการ จำนวน 138 ราย
ส่งผลให้ล่าสุด ณ วันที่ 31 ส.ค.60 มีจำนวนห้างหุ้นส่วนบริษัทจดทะเบียนจัดตั้งทั้งสิ้น 1,409,392 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียนรวม 21.58 ล้านล้านบาท โดยมีห้างหุ้นส่วนบริษัทที่ดำเนินกิจการอยู่ทั่วประเทศจำนวน 670,513 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียน 16.73 ล้านล้านบาท แบ่งเป็น บริษัทจำกัด 487,891 ราย บริษัทมหาชนจำกัด 1,176 ราย และห้างหุ้นส่วนจำกัด/ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล 181,446 ราย
สำหรับนิติบุคคลที่จดทะเบียนเลิก มีจำนวน 1,755 ราย เพิ่มขึ้นจำนวน 129 ราย คิดเป็น 8% เมื่อเทียบกับเดือนก.ค.60 ซึ่งมีจำนวน 1,626 ราย และเพิ่มขึ้นจำนวน 8 ราย คิดเป็น 0.5% เมื่อเทียบกับเดือนส.ค.59 ซึ่งมีจำนวน 1,747 ราย
อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กล่าวว่า ในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา 2560 (ม.ค.- ส.ค.) มีการจดทะเบียนจัดตั้งห้างหุ้นส่วนบริษัทจำนวน 49,080 ราย มีมูลค่าจดทะเบียนทั้งสิ้น 232,893 ล้านบาท จะเห็นได้ว่าจำนวนนิติบุคคลจดทะเบียนจัดตั้งใหม่เพิ่มขึ้น 6,169 ราย คิดเป็น 14% เมื่อเทียบกับในช่วงเดียวกันของปีก่อน (ม.ค.-ส.ค.59) ซึ่งมีจำนวน 42,911 ราย โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการของภาครัฐ ด้านภาษีเพื่อส่งเสริมและอำนวยความสะดวกในการประกอบกิจการและสนับสนุนให้เกิดการลงทุนของภาคเอกชน ได้แก่ มาตรการปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) มาตรการภาษีสนับสนุนการจัดทำบัญชีของ SMEs ประกอบกับมีการผลักดันโครงการลงทุน Mega Project ของภาครัฐที่มีเข้ามาเพื่อพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานในประเทศหลายโครงการ ทำให้มีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น รวมทั้งภาคการท่องเที่ยวและการส่งออกมีการขยายตัวเพิ่มอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้การบริโภคภาคเอกชนเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจไทยยังคงขยายตัวได้ดีในปีนี้
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังจำเป็นต้องคำนึงถึงปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามเกี่ยวกับแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า ความผันผวนของตลาดเงินโลก ความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา และความไม่แน่นอนทางการเมืองของยุโรป รวมทั้งสถานการณ์ขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศอย่างใกล้ชิด