KOFC แนะเพิ่มความหลากหลายใช้บริการบัตรคนจน-ปรับแนวคิดเป็น Workfare เพื่อพึ่งพาตัวเองอย่างยั่งยืน

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday October 12, 2017 13:28 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายกัมปนาท เพ็ญสุภา ผู้อำนวยการ ศูนย์วิจัยเศรษฐศาสตร์ประยุกต์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) เปิดเผยว่า จากมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 29 ส.ค.60 ได้มีมติเห็นชอบในหลักการแนวทางการจัดประชารัฐสวัสดิการการให้ความช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐตามที่กระทรวงการคลังเสนอให้กับผู้มาลงทะเบียนรายได้น้อยที่ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติตรงตามที่กำหนดแล้ว โดยบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 เป็นการลดค่าใช้จ่ายการดำรงชีพ และส่วนที่ 2 เป็นเรื่องของการเดินทาง

อย่างไรก็ตาม วงเงินทั้งหมดหากประชาชนใช้ไม่หมดจะถูกตัดยอดทันทีไม่มีการสะสมในเดือนถัดไปและถึงรอบวันที่ 1 ของทุกเดือนวงเงินจะถูกปรับเป็นค่าเริ่มต้นของวงเงินแต่ละสวัสดิการเสมอ ขณะที่มาตรการค่าน้ำประปาและค่าไฟฟ้าให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้มาตรการที่เคยดำเนินการมาไปพลางก่อน

โดยการจัดประชารัฐสวัสดิการผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นการดำเนินการตามแนวนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่ต้องการลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมในสังคม โดยกำหนดให้มีการสนับสนุนค่าใช้จ่ายบางส่วนที่จำเป็นในการดำรงชีพให้แก่ผู้มีรายได้น้อยเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในครัวเรือนและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ซึ่งได้เห็นชอบให้บรรจุกรอบวงเงินเพื่อการดำเนินการดังกล่าวไว้ในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 (รายการกองทุนประชารัฐ เพื่อเศรษฐกิจฐานราก) ไว้เป็นวงเงินรวมทั้งสิ้น 46,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 15 ก.ย.60 กระทรวงการคลังได้สรุปข้อมูลยอดผู้ลงทะเบียนมีทั้งสิ้น 14,176,170 คน โดยมีจำนวนผู้ลงทะเบียนที่ผ่านหลักเกณฑ์ที่กำหนด จำนวน 11,431,681 คน แบ่งเป็นผู้ลงทะเบียนที่มีอาชีพเกษตรกร จำนวน 3,322,214 คน ไม่ใช่เกษตรกร จำนวน 8,109,467 คน

ศูนย์ติดตามและพยากรณ์เศรษฐกิจการเกษตร ได้วิเคราะห์ผลกระทบดังกล่าวภายใต้สมมติฐานที่ว่าในปีงบประมาณ 2561 (ต.ค.60-ก.ย. 61) ผู้ผ่านสิทธิ 11.43 ล้านคน มีการใช้จ่ายเต็มวงเงินงบประมาณในหมวดที่ 1 การลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ส่วนที่เหลือเป็นงบประมาณการใช้จ่ายในหมวดที่ 2 การลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางภาพรวม พบว่า มีผู้ผ่านสิทธิ์ 11.43 ล้านคน ใช้งบประมาณ 46,000 ล้านบาท จะทำให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศ ประมาณ 118,077.82 ล้านบาท

เมื่อพิจารณาผลกระทบในภาคเกษตร พบว่า มีเกษตรกร 3.32 ล้านคน ใช้งบประมาณ 13,368.59 ล้านบาท จะทำให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจในภาคเกษตร 21,215.50 ล้านบาท แบ่งเป็น มูลค่าในการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคมากที่สุด คิดเป็นมูลค่า 21,134.27 ล้านบาท รองลงมาเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทาง คิดเป็นมูลค่า 70.73 ล้านบาท และส่วนลดในการซื้อก๊าซหุงต้ม คิดเป็นมูลค่า 10.50 ล้านบาท ตามลำดับ

หากพิจารณาถึงผลกระทบต่อภาคการเกษตรรายสาขา พบว่า สาขาการผลิตที่ได้รับผลกระทบทำให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจมากที่สุด 5 อันดับแรก คือ สาขาการทำนา คิดเป็นมูลค่า 8,542.02 ล้านบาท รองลงมาเป็นสาขาการเลี้ยงสัตว์ปีก คิดเป็นมูลค่า 2,753.76 ล้านบาท สาขาการเลี้ยงสุกร คิดเป็นมูลค่า 2,270.93 ล้านบาท สาขาการทำไร่พืชตระกูลถั่ว คิดเป็นมูลค่า 1,235.53 ล้านบาท และสาขาการปศุสัตว์ คิดเป็นมูลค่า 1,177.83 ล้านบาท

สำหรับข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย พบว่า ในภาคการเกษตร ภาครัฐควรเน้นการแก้ปัญหาไปที่การพัฒนาความรู้ทักษะการประกอบอาชีพที่มีความสอดคล้องและเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นการพึ่งพาตัวเองอย่างยั่งยืน ซึ่งโครงการบัตรสวัสดิการอาจเป็นการสร้างภาระให้กับภาครัฐในการบริหารงบประมาณจำนวนมหาศาล ดังนั้น ในระยะต่อไปควรปรับแนวคิดจาก “Welfare" ให้เป็น “Workfare" เพิ่มมากขึ้น เน้นให้ผู้เดือดร้อนที่ยังพอมีศักยภาพอยู่สามารถพัฒนาตนเองให้พึ่งตนเองได้หรือกลับเข้าไปแข่งขันในตลาดแรงงานได้อย่างสมบูรณ์

พร้อมกันนั้นควรเพิ่มมาตรการในการตรวจสอบข้อมูลอย่างเข้มงวด รวมไปถึงการกำหนดบทลงโทษสำหรับผู้ที่แจ้งข้อมูลเท็จโดยเฉพาะกลุ่มคนในระบบภาษี ทั้งนี้ ในอนาคตควรสร้างความหลากหลายในการบริการสวัสดิการเพื่อรองรับทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยต้องหาความต้องการที่แท้จริงในแต่ละกลุ่มเป้าหมายก่อน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ