นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติแนวทางการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2560/2561 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ในโครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกรปี 2560/2561 วงเงินงบประมาณ 45 ล้านบาท ซึ่งภาระงบประมาณที่เกิดขึ้นดังกล่าวให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีของกระทรวงการคลังต่อไป
โดยจะมีการสนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกรเพื่อรวบรวมหรือรับซื้อ และสร้างมูลค่าเพิ่มข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากเกษตรกร วงเงินสินเชื่อ 1,500 ล้านบาท โดยใช้เงินทุนจาก ธ.ก.ส. ซึ่ง ธ.ก.ส.จะคิดดอกเบี้ยเงินกู้ตามโครงการในอัตรา 4% ต่อปี โดยคิดจากสถาบันเกษตรกรในอัตรา 1% ต่อปี และรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยแก่ ธ.ก.ส.ในอัตรา 3% ต่อปี เป็นระยะเวลาไม่เกิน 12 เดือนนับแต่วันรับเงินกู้
ทั้งนี้ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) คาดการณ์ว่าจะมีปริมาณผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 4.43 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2559/2560 ที่มีปริมาณผลผลิต 4.32 ล้านตัน โดยผลผลิตจะออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือน ก.ย.-พ.ย.60 ประมาณ 3.07 ล้านตัน หรือคิดเป็น 70% ของปริมาณผลผลิตทั้งประเทศ ขณะที่ความต้องการใช้ในประเทศปีนี้คาดว่ามีความต้องการใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ 8.1 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 3.58% จากปี 2559
นอกจากนี้ในเดือน ต.ค.60 ปริมาณผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จะออกสู่ตลาดมากที่สุดประมาณ 1.14 ล้านตัน ซึ่งเมื่อรวมกับผลกระทบจากสถานการณ์ฝนตกชุกในหลายพื้นที่ซึ่งส่งผลให้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มีความชื้นสูง เกษตรกรไม่สามารถปรับปรุงคุณภาพได้ทันก่อนที่จะจำหน่ายผลผลิตเข้าสู่โรงงานอาหารสัตว์ อาจจะส่งผลให้ราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มีแนวโน้มปรับตัวลดลงอีกได้
ดังนั้นกระทรวงพาณิชย์จึงเสนอโครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร (สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร และกลุ่มวิสาหกิจชุมชน) ปี 2560/2561 วงเงิน 45 ล้านบาท เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนให้แก่สถาบันเกษตรกรที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และมีการจดทะเบียนอย่างถูกต้อง นำไปใช้รวบรวมหรือรับซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากเกษตรกรเพื่อจำหน่ายต่อ, แปรรูป เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม หรือใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์ นอกจากนี้ยังช่วยดูดซับปริมาณข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดมาก อีกทั้งยังเพิ่มทางเลือกให้เกษตรกรได้มีแหล่งรับซื้อผลผลิตที่หลากหลายยิ่งขึ้น